ชื่อเสียงไหลบ่ามา
เสียแต่ว่าจัดการไม่ไหว
ไม่ได้แถมยังเสีย
***************************
แวะเวียนไปเรื่องอื่นพอสมควร จนหลายท่านนึกว่าน้องผมคงสลบคาส้วมไปแล้ว ใครไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน ก็ลองไปดูที่ http://mengmory.blogspot.com/2009/09/palis-lesson.html ก่อนนะครับ
ความเดิมจากตอนที่แล้วมีอยู่ว่า น้องคนแรกเขาคิดว่า ทำงานมาตั้งเยอะ มีผลงานการันตีระดับนึง พร้อมที่จะขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับต้นแล้ว เลยอยากจะหารือว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี
ถามกลับไปว่า คิดว่าจะขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับกลางแล้ว มันมีความแตกต่างอย่างไรจากงานที่ทำบ้าง
น้องตอบกลับมาอย่างมั่นใจ หนูทำได้นะพี่ทุกวันนี้เรียกประชุม ประสานงานฝ่ายต่างๆ สั่งการให้ทำงานได้ตามเป้าหมาย ก็น่่าจะโอแล้วนา
จริงเหรอ ถ้าเราต้องมีลูกน้องแล้วแค่การสั่งงานไม่น่าจะพอนะ เราสามารถวิเคราะห์เขาได้ไหม ว่าเขามีจุดแข็ง จุดเด่นอะไรบ้างที่มันเสริมกับเป้าหมายของบริษัท หรือมีจุดอ่อนที่มันจะทำให้เราไม่ไปไหน อะไรที่เราจะส่งเสริมให้เขาต้้องพัฒนา ต้องเรียนรู้เพิ่มอีก ประการหนึ่ง
ต่อมาก็เป็นเรื่องการดูแลความเป็นอยู่ของเขา ไม่ถึงต้องไปอยู่ด้วยกัน แค่ว่าปัจจุบันผลตอบแทนที่เขาได้รับ หรือสภาพชีวิตมันเหมาะสมหรือไม่ ที่ทำงานเอื้อให้เขาทำงานอย่างเต็มที่ อย่างมีความสุขไหม กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ เป็นอย่างไร ไม่ใช่มาทำงานแล้วลืมเอารอยยิ้มมาด้วย
แล้วสุดท้ายคือเรื่องเส้นทางชีวิตเขาในอนาคต มันสอดคล้องกับจุดแข็ง จุดอ่อนหรือว่า บริษัทสามารถตอบสนองเขาได้มากแค่ไหน มีตำแหน่งรองรับหรือไม่ เขาน่าจะเดินทางต่อไปอย่างไร
ซึ่งเมื่อเขามาเป็น “ลูกน้อง” เราแล้ว ก็ต้องดูแลเหมือน “ลูก” เหมือน “น้อง” เพราะความสำเร็จของเขาก็เป็นผลงานของเราเหมือนกัน ก็เลยฝากไปคิดไปใคร่ครวญอีกครั้ง เพราะเมื่อก้าวขึ้นมาในระดับบริหารแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของ “คน” ทั้งนั้น
มันวุ่นๆ จนต้อง “กวน” ต้อง “คน” ให้ส่วนผสมมันกลมกล่อมกับองค์กรเราที่สุด
คิวถัดมาเป็นน้องอีกคน ที่รอมาตั้งแต่คราวที่แล้ว (แต่ไม่บ่นเพราะเป็นแฟนกับน้องคนแรก) หลังจากแยกย้ายกันไปก็ได้ดิบได้ดีในบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่กำลังจะโต ความที่เป็นคนอ่อนน้อมและขยัน นายญี่ปุ่นเลยมอบอำนาจและงานให้มากมาย ทำทุกอย่างตั้งแต่เตรียมการขาย ปิดการขาย จนถึงเรื่องเซอร์วิส ฯลฯ ขาดอยู่สองอย่างคือ เป็นประธานบริษัท กับฝ่ายการเงิน เท่านั้นที่นายยังไม่ยอมให้
ฟังดูแล้วน่าจะดี มีอำนาจเต็มมือ อยากทำอะไรก็ทำ น้องเองก็เวรี่แฮปปี้มาก แต่ก็สังหรณ์ว่ามันน่าจะมีประเด็นบ้าง เลยอยากให้พี่ช่วยมองมุมพี่หน่อย ขอความเครีียดเหยาะเข้าไปอีก เผื่อจะนอนดึกกว่าเดิม
ได้เลย พี่จัดให้ อย่างแรกคือ การที่เรามีอำนาจล้นฟ้านั้น ต้องทำทุกอย่าง ถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่ต้องทำ “ด่วน” ที่สุด และอะไรเป็นสิ่งที่ “จำเป็น” ที่สุด ลองร่ายรายการออกมาแล้วพิจารณาดู เหมือนอย่างที่เคยเรียนมา ว่าเราจัดงานเป็นสี่ประเภท ให้แกน x เป็นความเร่งด่วน แกน y เป็นความสำคัญ งานนี้มันอยู่ตรงส่วนไหน ระหว่าง ทั้งด่วนและสำคัญ / ด่วนแต่ไม่สำคัญ / ไม่ด่วนแต่สำคัญ / ไม่ด่วน ไม่สำคัญ (แล้วจะใส่มาทำไมเนี่ย)
ซึ่งการจัดลำดับงานดังกล่าวส่งผลต่อผลงานด้วย เพราะถ้าทำทุกอย่างโดยไม่ได้โฟกัสเลย สุดท้ายจะไม่ได้อะไร ผู้ใหญ่อาจจะมองเราเป็นคนจับจดก็ได้ หรือว่านี่อาจจะเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง เพราะโดยส่วนตัวแล้ว น้องเขาเองมีศักยภาพที่จะแทนนายญี่ปุ่นได้อย่างดี ยกเว้นฝีมือกอล์ฟที่ยังแทนไม่ได้ เพราะนายมีอะไรโยนมาให้หมด เอาเวลาไปซ้อมกอล์ฟอย่างเดียว (ฮา)
ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกแต่วันนี้ขอฝากให้น้องเขาไปแค่นี้ ถ้าวันใดบุญพาวาสนาหนุน คงได้จุดธูปเชิญพี่พาลีมาประทับทรงต่อไป