บรรยากาศข้างนอกขมุกขมัว เมฆทะมึนสีดำที่ตั้งเค้ามาระยะหนึ่ง เริ่มบิดตัวกลายเป็นน้ำตาฟ้าหยดลงมาเป็นสาย
"โชคดีนะ ที่เข้ามาหลบในนี้ก่อน" เขานึกในใจที่ตัดสินใจหลบรถติดในบ่ายวันศุกร์ มาที่ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่แห่งนี้ แต่สายฝนที่พรั่งพรู กลับทำให้เขายิ่งห่อเหี่ยวใจ
นึกถึงเรื่องเมื่อสัปดาห์ก่อน ระหว่างเขากับเธอ ถึงจะไม่แปลกใจนัก แต่บทสรุปของคำตอบเธอก็ทำให้เขาใจเสียไม่ใช่น้อย
"เราเลิกกันเถอะ"
"เอ่อ..แล้วงานแต่งของเราล่ะ"
"ก็ยกเลิกไปสิ การ์ดก็ยังไม่ได้แจกนี่ ตอนนี้แค่บอกเพื่อนๆ กับที่บ้านก็แค่นั้น แต่ถ้าพี่จะเสียดายเงิน เดี๋ยวชั้นออกเองก็ได้"
"มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินนะ เพราะพี่เองก็พยายามหามาให้พอค่าจัดงานอยู่แล้วนี่"
"ก็พี่เป็นซะอย่างนี้ มัวแต่ทำแต่งาน ไม่เคยสนใจชั้นเลย เอาแต่พล่ามว่าต้องเก็บเงิน ต้องติดต่อลูกค้า สารพัดจะอ้างล่ะ แล้วแค่ชั้นออกไปเทียวกับเพื่อนๆ แค่เนี๊ย ต้องกลับมาฟ้องพ่อด้วย"
"เรื่องนั้นพี่ขอโทษแล้วไง ก็โทรหาเราไม่ติด แล้วมันก็ดึกมากแล้วด้วย พี่ไม่รู้จะติดต่อใคร"
"ไม่ต้องพูดต่อละ ชั้นต้องไปแล้ว มีธุระ นัดเพื่อนไว้"
***************************
ฝนที่ตกยังเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นม่านสีเทาทึบ คงต้องนั่งที่นี่อีกสักพัก มองไปรอบๆ มีแขกเข้ามานั่งไม่กี่โต๊ะ เขารู้สึกว่ามีใครสักคนมองอยู่ หันไปเห็นเป็นผู้ชายคนนึง นั่งห่างไป 2 โต๊ะ ถ้าดูจากจำนวนขวดเบียร์เกือบครึ่งโหล และ กับแกล้ม 2-3 จาน ก็คงจะเริ่มกรึ่มได้ที่ แต่ก็ขัดตากับหน้าตา เสื้อผ้าที่ใส่ เขาเดาอายุไม่ออกด้วยทรงผมที่ไว้ยาวตามสมัยวัยรุ่นเกาหลี แต่หนวดเครายาวครึ้ม ภายใต้ชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะเก่าๆ พระเจ้าช่วย น่าจะ "ดาวเทียม" ด้วยนะเนี่ย
"เฮ้ย ตี๋ กินเบียร์ด้วยกันไหม" เสียงอ้อแอ้ แต่คิดว่ายังคุมสติอยู่
"พี่ เรียกผมเหรอ" หันไปมองรอบๆ มีเราโต๊ะเดียวนี่หว่า เอาว่ะ หาเพื่อนกินเบียร์ฆ่าเวลา รอรถหายติดก็ดี มันคงไม่ทำมิดีมิร้ายกับเราหรอกนะ
***************************
เมื่อเบียร์ขวดที่ 2 ผ่านไป ทั้ง 2 เริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น ไม่มีการถามชื่อแซ่ เรียกกันอย่างนับถือแค่ "พี่ กับ น้อง" เท่านั้น พี่มาที่ร้านตั้งแต่บ่ายเพื่อฉลองที่ถูกหวย กินเบียร์รอเพื่อนๆ ที่จะมาตอนเย็น
"เฮ้ย กินเหล้ากินเบียร์ มันก็ต้องสนุกสนานสิวะ เป็นอะไรวะเนี่ย ทำหน้าเซ็งๆ เดี๋ยวเบียร์ไม่อร่อยนะโว้ย"
"กลุ้มใจดิพี่ เพิ่งเลิกกับแฟน จะแต่งงานเดือนหน้าแท้ๆ แล้วเนี่ย" เขาเริ่มที่อยากจะระบายให้ใครสักคนฟังบ้าง เอาเป็นคนที่ไม่รู้จักเนี่ยละว่ะ
พี่จ้องหน้าเขาเขม็ง "เหรอ แล้วร้องไห้หรือเปล่า มิวสิคในทีวีต้องไปร้องไห้กลางสายฝนนะ เอาไหม ฝนกำลังตกเลย เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน"
"โห พี่ ขำตายเลยนะเนี่ย คบมาตั้งนาน ร้องไห้เสียใจนะก็ต้องมีบ้างแหละ แต่ไม่ตากฝนน่ะ เดี๋ยวเป็นหวัดไม่มีใครเช็ดตัวอ่ะ" ปล่อยมุขสวนไป แต่รู้สึกไม่ค่อยขำเท่าไร
"เสียใจเหรอ เสียใจเรื่องอะไรวะ"
"อ้าวพี่ เลิกกันก็ต้องเสียใจสิ เสียทั้งเวลา เสียทั้งความรู้สึก ผู้ใหญ่สองฝ่ายก็รับรู้ เพื่อนฝูงอีก..." และหลายๆ อย่างก็พรั่งพรูไหลบ่าออกมา เหมือนกระสอบทรายที่ทานแรงน้ำไม่ไหว เขาเล่าให้ฟังถึงการเปลี่ยนแปลงของเธอ จากที่เคยตามใจ เห็นคล้อยกับความคิด การกระทำของเขา ก็เริ่มเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทอง แต่เป็นเวลา และที่อึดอัดที่สุดคือ การที่พยายามจะเปลี่ยน "ตัวตน" ของเขาให้เป็นอย่างที่เธออยากให้เป็น ทั้งๆ ที่เขาพยายามจะเข้าใจถึงความต้องการของเธอ และหาจุดที่ "ลงตัว" ระหว่างทั้ง 2 คน
"แล้วคบกันมา ดูไม่ออกเหรอว่าเค้าเป็นคนยังไง เอ พี่ว่าน้องก็ดูๆ ไม่น่าโง่นี่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" หัวเราะเสียงดังจนเด็กเสิร์ฟหันมามอง
เฮ้อ ไม่อยากจะเตะคนเมานะเนี่ย "โธ่ พี่ ตอนนั้น ก็คิดๆ ว่าเค้าน่าจะเปลี่ยนได้ แต่จะว่าไป ก็เหมือนผมหลอกตัวเองนะ มัวแต่คิดถึงเรื่องดีๆ ความดีที่เขาเคยทำให้เราสิ พี่เองก็ดูฉลาดดีนะ ไม่น่าถามเลย ถ้าเป็นพี่เองก็คงเสียใจเหมือนผมนั่นแหละ"
"ไม่ว่ะ เสียใจทำไมวะ" เขาถึงกับอึ้งในคำตอบ และอ้าปากค้างกับประโยคถัดมา
"อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเค้าเป็นคนยังไง คิดดูสิ ถ้าเกิดแต่งงานไปแล้ว มีลูกมีเต้ากัน แล้วธาตุแท้มันออกมาตอนนั้น จะยิ่งยุ่งกว่านี้อีก ลามปามไปถึงญาติๆ ด้วย คิดอีกที เลิกกันแล้ว หลังจากนี้ น้องก็มีเวลาทำงานมากขึ้น มีเวลาดูแลพ่อแม่อยู่กับญาติๆ มากขึ้น ไม่ดีเหรอ ถ้าเป็นพี่ เลิกกับคนแบบนี้ได้ก็ต้องมาฉลองกันหน่อยแล้ว ฮ่า ฮ่า"
"โห พี่คิดได้ไงเนี่ย อืม จะว่าไปก็ใช่นะ เพราะตอนคบกัน ผมต้องให้เวลาเขามาก บางทีก็ลืมพ่อ เมินแม่ไปเหมือนกัน อืม ขอบคุณพี่มากนะครับที่ให้มุมมองใหม่ๆ ด้วย"
"เอิ๊ก ไม่ใช่แค่นี้หรอก น้องลองไปคิดต่อนะ ว่านิสัยการคิด การตัดสินใจของเรายังเป็นอย่างนี้ มันส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ ในชีวิตเราด้วยหรือเปล่า การที่เอาอารมณ์มาเหนือเหตุผล โลเลไม่ตัดสินใจ คิดเข้าข้างตัวเอง ถ้าแก้ได้ก็นับว่ากำไรสองต่อเลย เผลอๆ พี่ว่าเราต้องกลับไปขอบคุณแม่ยอดยาหยีเราด้วยซ้ำไปนะ"
"แหม พี่ครับชมหน่อย เอาใหญ่เลยนะเนี่ย แต่ก็ขอบคุณนะ..ค.." ยังไม่ทันจบประโยค ก็มีชายในชุดเครื่องแบบสีขาว 2 คนเดินเข้ามาหน้าตาเคร่งเครียด "พี่" หันไปมองทำหน้ายิ้มๆ ตาเยิ้ม
"อ้าว อ้าว มากันแล้วเหรอ มะ มารู้จักน้องผมหน่อย เอ้า นั่งๆ" อืม สงสัยเป็นเพื่อนพี่เขานั่นเอง
"เฮ้ย ไม่ต้องพูดมากเลย หาตั้งนาน พามาตรวจนอกสถานที่ทีไร ต้องหนีมาทุกที ไป๊ กลับไปที่โรงพยาบาลได้แล้ว" ทั้งสองเข้ามาหิ้วปีกลาก "พี่" ที่นั่งหัวเราะเสียงดัง เอิ๊กอ๊าก ออกไป พร้อมกับสายตางงๆ ของเขาและคนในร้าน
เด็กเสิร์ฟแอบหัวเราะคิก กระซิบเบาจนเขาได้ยิน "คนบ้าว่ะ"
***************************
เขาเดินออกมาข้างนอก สายตาขบขันของบางคนในร้านยังมองลอดมาบ้าง เขาคงไม่กล้ามาที่นี่อีกนาน แหม ก็โดนคนบ้าหลอกกินฟรี แถมคุยกันเป็นวรรคเป็นเวร แม้ว่าคนรอบข้างจะมอง "พี่" เขาเป็นคนบ้าคนนึง แต่สำหรับเขาแล้ว บางทีคนดีๆ อย่างเขาต่างหาก ที่ "บ้า" มากกว่าพี่เขานักเงยหน้ามองท้องฟ้า ฝนหยุดตกแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใส เงาพระจันทร์เดินตามไล่พระอาทิตย์ที่กำลังจะเลิกงาน เขายิ้มให้กับตัวเอง ว่าจะกลับบ้านไปกราบพ่อ กราบแม่ อีกครั้ง