
ในมุมบวกของเหตุการณ์น้ำท่วม ผมเลือกหนังเรื่องนี้มาเปิดให้คุณแม่ทัศนาแทนสายน้ำ และข่าวสารที่ไหลบ่าล้นมาแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่คาดว่ามันน่าจะมีอะไรคล้ายๆ กับ แดจังกึม ได้บ้าง หลังจากที่สั่งซื้อมานานหลายเดือน และเลือกเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำขนมที่กำลังสนใจอยู่ด้วย
หลังจากดูกันอย่างเอาการเอางาน 30 ตอน 30 ชั่วโมง ภายในระยะเวลาประมาณ 4 วัน ก็เป็นอีกครั้งที่เข้าใจผิดอย่างจังเบลอ เพราะซีรี่ย์เรื่องนี้ ไม่แค่เพียงมีเรื่องการทำขนมปังเพียงอย่างเดียว ยังผสานเรื่องราวสุดคลาสสิคของ แม่ผัว-ลูกสะใภ้, พี่น้องต่างพ่อแม่, เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด, ฟ้าลิขิตอาจารย์ศิษย์, รักสามเศร้า เขาฉันเธอ รวมถึงแง่มุมการบริหารธุรกิจครอบครัว จนถึงประวัติศาสตร์วิถีชีวิตคนเกาหลีในยุค 60-90 ด้วย เรียกได้ว่า เรื่องเดียว จัดครบ จนไม่ต้องแปลกใจไปว่า เมื่อเริ่มฉายตั้งแต่ มิถุนายน ถึง กันยายน ปีที่แล้ว (2553) ละครเรื่องนี้ครองอันดับเรตติ้งสูงสุดของเกาหลี (ตอนแรก 15.7% ไต่ระดับไปเรื่อยจน ตอนจบ 50.8%) และทาง KBS ต้นสังกัดก็ได้นำเผยแพร่ทั่วโลกในชื่อ Bread, Love and Dreams แล้วครับ
เนื้อเรื่อง (พยายามจะเขียนให้กระชับที่สุดแล้วนะ) เริ่มตั้งแต่ อินซุก (Jun In Hwa) สะใภ้ตระกูลกู ยังไม่สามารถมีลูกชายให้แม่สามี คุณนาย ฮอง (Jung Hye Sun) ปลื้มใจได้ จึงเป็นชู้กับเพื่อนสามี (และลูกน้อง) คือ ผจก. ฮัน (Jung Sung Mo) จนได้ลูกชาย มาจุน (Shin Dong Woo - ตอนเด็ก / Joo Won – ตอนโต) เป็นลูกชายคนเล็กเพื่อสืบทอดสมบัติของตระกูล
ในขณะเดียวกันสามี อิลจอง (Jun Kwang Ryul – หมอโฮจุน) ด้วยความสนับสนุนจากแม่สามี ก็มีอะไรกับพยาบาลในบ้าน คิม มิซุน (Jun Mi Sun) ซึ่งเมื่ออินซุกทราบเรื่องก็ไล่ออกไป หลังจากนั้นมิซุนเองก็คลอดลูกเป็นเด็กชายชื่อ คิม ทัคกู (Oh Jae Moo – ตอนเด็ก / Yoon Si Yoon – ตอนโต) แต่เมื่อ ผจก. ฮันที่ตามไปฆ่า เกิดความสงสารจึงปล่อยไป โดยกำชับว่าอย่าให้มาเจอตระกูลนี้อีก
ครับ แล้วก็เป็นไปตามขนบละครเกาหลี คิม ทัคกู โตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีจิตใจดี แต่โชคชะตา ฟ้าลิขิต (โดยผู้กำกับ) ทำให้เขาได้มีโอกาสมาเจอพ่อของเขาอีกครั้ง แต่ฟ้าก็ไม่เมตตา ส่งให้ ผจก. ฮัน มาคอยตามล่า ตามไล่ให้ไกลๆ ครอบครัวนี้ แต่สุดท้าย คิม มิซุนเห็นว่า ถ้าเอาแต่หนี ก็ต้องหนีไปตลอดชีวิต เธอจึงตัดสินใจส่ง ทัคกู เข้าถ้ำเสือเสียเลย โดยเปิดตัวให้สามีและแม่ผัวได้รับรู้ ซึ่งทั้งสองคนก็ดีใจมาก (ระหว่างนี้เข้ามาประมาณตอนที่ 3 หรือ 4 แล้ว เห็นแค่ฉากทำขนมปัง แค่ฉากเดียวเอง คนดูคงเริ่มงง แต่หนังเองก็สนุกจนด่าไม่ออก เอ้า ดูต่อไป)
ถ้าเป็นหนังไทย พล็อตก็น่าจะวนเวียนในครอบครัว ให้พระเอกโตขึ้นมา ประมาณนั้น แต่เนื่องจากเป็นละครเกาหลี ทัคกู จึงโดน ผจก. ฮัน หลอกให้ออกจากบ้านอีกครั้ง เพื่อตามหาแม่ ที่โดนใครไม่รู้จับตัวไป โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องไม่กลับมาที่นี่อีก
เป็นเวลา 12 ปีที่เขาต้องออกตามหาแม่ โดยมีเบาะแสคือ ผู้ชายที่มีรอยสักรูปกังหันลม (ถึงตอนนี้ อารมณ์หนังเหมือนจะเปลี่ยนไปอีกเรื่อง) ทำให้เขาต้องกลายเป็นคนที่ก้าวร้าว แข็งแกร่ง จนสุดท้าย ก็มาจบที่ร้านขนมปัง พัล บอง (น้ำเน่าไหลหลากอีกกับมุขที่ว่า เจ้าของร้านพัล บอง (Jang Hang Sun) คืออาจารย์ของพ่อเขาเอง)
เรื่องราวหลังจากนั้น ทัคกู ก็ได้เรียนรู้ชีวิต ได้เจอกับอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามา ทั้งในเรื่อง ความรัก, การเรียนรู้เรื่องขนมปัง, ครอบครัว และ ธุรกิจ ซึ่งก็มีสมหวัง ผิดหวัง ร้ายเจ็ดที ดีเจ็ดหน ปะปนกันไปครับ ขอเล่าเรื่องแค่นี้ละกัน อยากให้ไปดูกันเอง ว่าละครที่ทำเรตติ้งถึงครึ่งร้อย มันมีอะไรน่าสนใจบ้าง แต่ที่สรุปได้หลักๆ คือ
อย่างแรก คือ การวางพล็อตหนัง ครับ ต้องให้เครดิต ผู้กำกับ (Lee Jung Sub – ผลงาน Hong Gildong จอมโจร โดนใจ) และ คนเขียนบท (Kang Eun Kyung) จัดส่วนผสมได้กลมกลืน ครบรส เหมือนหนังย่อยๆ หลายๆ เรื่องมารวมกัน ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เพราะมีโอกาสที่จะออกทะเลอยู่สูง (หนังเรื่องนี้ก็มีบ้าง แต่แบบเกือบๆ นะครับ) แล้วการทิ้งท้ายของแต่ละตอน ก็ดึงผู้ชมอยู่หมัดเช่นกัน
จากบทหนังก็มาถึงการเลือกนักแสดง หนังหลายๆ เรื่องที่มีตัวละครตอนเด็ก แล้วมาตอนโต มักจะตกม้าตายกันตรงนี้ ตรงที่หน้าไม่ค่อยจะสมพงศ์กันเท่าไร แต่เรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ความใกล้เคียงของตอนเด็ก หรือ ตอนโต ยังเชื่อมโยงไปถึงตัว พ่อ แม่ ลูก ให้คล้ายและใกล้เคียงกันด้วย รวมไปถึงการแสดงของตัวละครทุกคน ไม่น่าเชื่อว่า ตัวละครหลักบางคน เพิ่งเล่นเรื่องนี้เป็นครั้งแรก (เฉลยตอนท้ายบทความครับ)
ถัดมาจะเป็นเรื่องของอุปกรณ์ประกอบฉาก และ ฉากหลังต่างๆ เนื่องจากระยะเวลาในหนังประมาณ 30-40 ปี รายละเอียดเหล่านี้ ทีมงานพิถีพิถันมาก ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า แฟชั่น รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ การตกแต่งบ้าน อาคารสำนักงาน ซึ่งถ้าเราสังเกตไประหว่างที่ดูหนัง ก็สนุกดีครับ ไม่แปลกใจเลยที่ละครจะได้รับรางวัลส่งเสริมวัฒนธรรมดีเด่น จากประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อปลายปีที่แล้วด้วย
แต่สาระใหญ่ที่ละครได้สอดแทรก เข้ามา น่าจะเป็นเรื่องของการมองโลก มองปัญหาครับ เพราะถ้ามองทัคกูเป็นศูนย์กลางของเรื่อง เราจะได้ข้อคิดจากคนรอบๆ ข้างตัวเขา ในมุมมองต่างๆ ทั้งจากคนดีหรือเลว ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของแม่ เรื่องความอดทน หรือเมื่อเจอพ่อเขาครั้งแรกกับคำสอนเรื่องการยอมรับผิด แม้กระทั่งตัวร้าย ผจก. ฮัน เอง สิ่งที่เขาพูดกับทัคกุ เรื่องฐานันดร หรือ ชนชั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็คือความจริงในโลกนี้เช่นกัน หรือจะเป็นปรัชญาจากการทำขนมปัง ที่คุณต้องทำด้วยความรัก ด้วยความสุข ถ้าหากคนทำเองไม่มีความสุขแล้ว คนทานหรือลูกค้าจะมีความสุขได้อย่างไร หรือ ความซื่อสัตย์ ทั้งต่อตัวเอง และต่อลูกค้า คนรอบข้าง
ไม่ใช่แค่ทัคกูคนเดียวที่มีปัญหา แต่แทบจะทุกตัวละครที่มีปัญหาของตนเอง ซึ่งต่างคนก็คิดว่า “มันใหญ่มาก” ทั้งนั้น ซึ่งถ้าหากเขาได้รับทราบปัญหาของคนอื่นๆ แล้ว บางทีเรื่องหนักอกของเขามันแทบจะไร้ความหมายไปเลยทีเดียว เช่น ตอนที่ทัคกู ถาม มาจุน ว่า มาโกรธเกลียดเขาเพื่ออะไร ทั้งๆ ที่ความรู้ก็สูงกว่า รวยกว่า แต่เพียงเพราะ ทัคกู สามารถมีชีวิตที่ตามใจตัวเองได้ ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของเขาเอง ซึ่งมาจุนไม่ได้รับ เป็นต้น
หรือ ถ้าผู้ชมเป็นคนกลางคนที่มีครอบครัวแล้ว ยิ่งมีประสบการณ์ในครอบครัวใหญ่ๆ ก็น่าจะเข้าใจถึงวิธีการอบรมดูแลเด็กๆ เช่นกัน ไม่ผิดที่เราบอกว่า เด็กเริ่มต้นที่เป็นผ้าขาว แต่จะโตมาเป็นศิลปะที่สวยงาม หรือ เลอะเทอะเป็นผ้าขี้ริ้วก็ขึ้นกับการดูแล ปั้นแต่งจากพ่อแม่นี่แหละครับ มาจุนเป็นเด็กฉลาดที่โตมาด้วยความอิจฉา ริษยาของแม่ ทำให้กว่าที่เขาจะเข้าใจและมีความสุขในชีวิตก็เกือบจะสายไป
ไม่ใช่แค่ตัวละครหลักเท่านั้น ตัวละครอื่นๆ ก็ได้รับน้ำหนักที่ไม่น้อยไปกว่ากัน อย่างบทของผู้บริหารหญิง ที่สมัยก่อนโน้นไม่ได้รับการยอมรับในสังคม ก็ถูกกล่าวถึงอย่างจริงจังเช่นกันครับ ซึ่งถ้ามองในมุมธุรกิจแล้ว หนังก็พูดถึงการกอบกู้ธุรกิจในภาวะวิกฤต การคอร์รับชันในองค์กร เราจะป้องกันอย่างไร การเก็บข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ตลาด การวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึง การบริหารจัดการคู่ค้าด้วย โดยทัคกูได้แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรามีความตั้งใจ และ จริงใจ ก็สามารถแก้ไข และฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ ไปได้ครับ
เนื้อหาคราวนี้ ค่อนข้างจะยาวไปหน่อย ผมคงบรรยายได้ไม่หมด แต่รับรองว่า ถ้าได้ดูแล้ว ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ฝากรูปโปรโมทละคร และ รูปนักแสดงหลังปิดกล้องมาให้ดูด้วยครับ (ขอบคุณ KBS / NEWSIS)
*********************************************
หมายเหตุ 1 / เฉลยว่าใครเล่นเรื่องนี้ครั้งแรก - Oh Jae Moo(ทัคกู ตอนเด็ก), Joo Won (มาจุน ตอนโต) ดูฝีมือแล้วไม่น่าเชื่อนะครับ
หมายเหตุ 2 / รางวัลที่ได้รับ
- 2010 KBS Drama Awards: Top Excellence Award - Actress (Jun In Hwa)
- 2010 KBS Drama Awards: Excellence Award, Mini Series - Actor (Yoon Shi Yoon)
- 2010 KBS Drama Awards: Excellence Award, Mini Series - Actress (Eugene)
- 2010 KBS Drama Awards: Writer Award (Kang Eun Kyung)
- 2010 KBS Drama Awards: Youth Actor Award (Oh Jae Moo)
- 2010 KBS Drama Awards: Best Couple Award (Yoon Shi Yoon and Lee Young Ah)