May 21, 2010

เรียนจากหนัง > The Devil's Game (Korea 2008) เกมท้าเย้ยมัจจุราช


บ้านเมืองไม่ค่อยปกติ เปิดทีวีก็เจอแต่ข่าวรายงานความเสียหาย ไม่รู้ว่าทำไมไม่ไปรายงานเรื่องอื่นบ้าง เช่น พวกแกนนำที่เหลือมันหายหัวไปไหน ดูแล้วก็หดหู่ เลยไปค้นๆ หนังที่ซื้อมานานแล้วมาดูแก้เซ็งดีกว่า

หน้าปกที่ดูแล้วคงไม่เครียดไปกว่านี้ พร้อมๆ กับเรื่องไม่ย่อของ มินฮีดู ได้รับข้อเสนอจากมหาเศรษฐี คังโนซิก ที่ตัวจริงซิก (sick) ใกล้ตายแล้ว ข้อเสนอที่น่าสนใจคือ การเดิมพันว่า หมายเลขโทรศัพท์ที่จะโทรไปนั้น คนรับเป็นหญิงหรือชาย ถ้ามินฮีดู ทายถูกก็จะได้เงิน 3,000 ล้านวอน (เท่าไรหว่า) เป็นรางวัล แต่ถ้าเขาทายผิด เขาต้องให้ร่างกายแก่ชายชราแทน

เป็นไปตามฟอร์มพระเอกที่ตอนแรกไม่ยอม แต่พอกลับไปบ้านพบว่าแม่ของแฟนสาว โดนแกงค์ทวงหนี้ตามข่มขู่ แถมเขาก็โดนกระทืบเป็นค่าดอกเบี้ยเสียอีก ด้วยอารมณ์หุนหัน เขาเลือกที่จะเดิมพันเพื่อให้ได้เงินมาช่วยแฟนสาวได้เร็วที่สุด

หนังสอดแทรกความเขี้ยว ความเก๋าของคนที่ผ่านอะไรมาเยอะอย่างโนซิกให้เราได้เห็น เช่นระหว่างที่เดิมพันกับฮีดูนั้น เขาได้ถือโอกาสตรวจสอบความซื่อสัตย์ของภรรยา ลีฮีริน ไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งก็ได้พิสูจน์หลักการของ ผัวแก่เมียสาว ได้ว่า ระดับความรัก มันน้อยกว่า เลขศูนย์หน้าจุดทศนิยมในบัญชียิ่งนัก โชคยังดีที่โนซิกยังพบว่าบอดี้การ์ดของเขา มร. อัน ยังภักดีกับเขาอยู่

กลับมาผลของการพนัน ทีแรกที่ฮีดูคิดว่า ปลายสายที่รับนั้นเป็นผู้หญิง แต่เมื่อเขาโทรอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่า เจ้าหล่อนเป็น "กระเทย" ทำให้เขาต้องพ่ายให้กับโนซิกทันที ซึ่งเป็นมุข "ครึ่งควบลูก" ที่ฮาลึกๆ

ผู้กำกับเลือกที่จะให้เราเชื่อถึงเทคโนโลยีการผ่าตัด ที่ไม่ใช่แค่ย้ายสมองเท่านั้น ยังมีส่วนอื่นๆ ที่ต้องเปลี่ยนกันด้วย ดูแล้วก็มีความเป็นไปได้ในอนาคตให้เราได้สยองเล่นๆ และทำใจยอมรับได้

หลังจากนั้นเรื่องราวก็เล่าถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปทั้งสองคน การหักเหลี่ยมเฉือนคม แก้เกมให้เป็นฝ่ายได้เปรียบ จนต้องสูญเสียไปมากกว่าที่คิด ซึ่งจะเห็นว่าหนังเรื่องนี้ เอาประเด็นผลลัพธ์ของ "การพนัน" มาแสดงแฝงข้อคิดผ่านตัวละครด้วย เช่น เรื่องใหญ่ๆ ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ, ผลลัพธ์ของการพนันที่ไม่เคยทำให้ใครรวย จุดสุดท้ายของความโลภคือความสูญเสีย และถ้าคุณคิดว่าคุณเจ๋ง คนอื่นก็อาจจะเจ๋งกว่าคุณได้เช่นกัน

มีตัวละครไม่กี่ตัวที่แสดงให้เราเห็นถึงความพอ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทของ โนซิก ที่เมื่อรู้ว่าเขาชนะพนันด้วยวิธีการที่น่ารังเกียจแล้ว ถึงกับเลิกคบไปเลย หรือ มร.อัน ที่มีแต่ความซื่อสัตย์ต่อนาย ไม่พยายามที่จะเข้าไปวุ่นวายเกินหน้าที่ตน

ตอนจบจะเป็นยังไง ก็ไปติดตามอุดหนุนกันได้ครับ ยังเป็นเรื่องของการเดิมพันเหมือนเดิม แต่ตามแนวหนังเกาหลี ก็มีหักมุมกันเอวบิดให้เดากันไม่ถูกเช่นกัน

พูดถึงแนวหนังเกาหลีแล้ว ต้องยอมรับว่า เขามีการส่งเสริมพัฒนามาก ทั้งเรื่องบทที่เข้มข้น และการแสดง รวมถึงโปรดักชัน ที่ทำให้เรามองข้ามหน้าตาขาดๆ เกินๆ ไม่ลงตัวของดาราชาย หรือ พิมพ์นิยมเดียวกันของดาราสาวๆ ไปได้ กอปรกับการพากย์ไทยของทีม "พันธมิตร" ที่ไม่ได้ใส่เสื้อสีเหลือง ก็ทำให้ต้องติดตามกันต่อไป

May 20, 2010

มองมุมเหม่ง > จบไม่สวย (Died at the End)

อ้างชาติประชาชน
ชุมนุมคนซับซ้อนซ่อนกล
สุดท้ายตายแบบโจร
*********************************

วันนี้เป็นวันที่ 2 หลังจากเหตุการณ์ "พฤษภา (มหา) ทมิฬ" เพิ่งผ่านพ้นไป ประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาลยังมีผลอยู่ การเก็บกวาดประเทศก็กำลังดำเนินต่อไป พร้อมๆ กับกลุ่มเสื้อแดงที่แฝงลงดินไป โดยไม่มีใครรู้ว่าจะกลับมาอีกไหม เหลืออยู่แต่ความเสียหายมหาศาลของฝ่ายที่ไม่เกี่ยวข้อง

จริงๆ แล้วผมเองพยายามที่จะเลี่ยงไม่พูดถึง "การเมือง" ใน MEngMORY เท่าไรนัก ทัศนคติทางการเมือง ก็เหมือนกับรสนิยมในเรื่องการกิน หรือเรื่องเพศ ขึ้นกับความรู้ภูมิหลัง ข้อมูล ข้อเท็จจริงที่รู้ ของแต่ละคน ที่บังคับกันไม่ได้

แต่เหตุการณ์ในวันที่ 18-19 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของพวก นปช. ที่พยายามจะอ้างความถูกต้อง อ้างประชาธิปไตย ต่างๆ นานา เพียงเพราะเมื่อแกนนำประเมินแล้วว่า "ถอยดีกว่า" แต่ไม่สามารถจะชี้แจงให้ผู้ร่วมชุมนุมเข้าใจได้ ทั้งๆ ที่ ผ่านมา พวกแกนนำเองก็เป็นคนป้อนข้อมูลต่างๆ ให้เขาเหล่านี้ตลอด สั่งซ้าย สั่งขวา ตบมือได้ แต่ไม่สามารถให้พวกเขากลับบ้านไปอย่างปลอดภัยได้ แถมก่อให้เกิดปัญหาที่ลามปามเกินควบคุม

ต้องยอมรับว่าผู้ชุมนุมนั้น "ฉลาด" พอที่จะพลิกความเสียเปรียบมาเป็นความได้เปรียบ โดยพวกเขารู้ว่า ทหาร หรือรัฐบาลนั้น จะไม่ทำร้ายพวกเขา จะเป็นด้วยกฏหมาย หรือ ภาพลักษณ์ก็ตามแต่ ทำให้พวกเขากล้าที่จะทำความเสียหายให้กับบ้านเมืองให้กับประเทศอย่างที่เห็นกันอยู่

ผมเชื่อว่ามีไม่น้อยที่อยากจะให้ "จัดการ" ให้เด็ดขาดบ้าง เหมือนอย่างที่เห็นในหนังหลายๆ เรื่อง แต่ต้องนับถือ และชื่นชมฝ่ายรัฐ (ส่วนใหญ่) ที่จะพยายามไม่ใช้กำลังในการแก้ปัญหา
จะขัดใจหน่อยก็เรื่องประสิทธิภาพของฝ่ายรัฐในการวางแผนป้องกัน แก้ไขปัญหาว่า "ห่วย" และขาดการประสานงานแค่ไหน ตัวอย่างจากต่างประเทศก็มีถมไป

ท้ายที่สุดแล้ว การใช้กำลัง แม้ว่าจะสะใจ แต่ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาหรอกครับ

ถ้าเราคิดกันใหม่ว่า เราจะใช้วิธีการเจรจาเพื่อหาทางออก โดยฝ่ายที่มีสติและเยือกเย็นกว่าฝ่ายตรงข้าม จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ "ชนะ" กว่า อย่างนี้จะดีกว่าไหม มันจะเป็นการเจรจากันแบบคนที่มีวุฒิภาวะ และใช้เหตุผลในการหักล้างกัน

อีกเรื่องที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ระดับการศึกษาของประชาชน ยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการแยกแยะข้อมูลที่ "จริง" หรือ "เท็จ" ให้พวกเขาไม่เป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีได้ เพราะสุดท้ายคนที่เจ็บที่ตาย ก็เป็นคนชั้นล่างอยู่ดี

แต่ละฝ่าย ไม่ว่าจะเหลืองหรือแดง ต่างก็มีทั้งดี และไม่ดี ผมไม่ได้เหมารวมว่า แดงจะเลว หรือเหลืองจะเทพทั้งหมด ประเด็นบางอย่างที่แดงเสนอมา ผมว่าก็มีเหตุผลที่น่าจะรับฟัง หรือการที่เหลืองยึดสนามบิน ผมว่ามันก็แย่ไม่ต่างกับแดงเผาเมืองเหมือนกัน

น่าเสียดายจริงๆ ที่วันนี้ ข้อเสนอต่างๆ ของฝ่าย นปช. แทนที่จะได้รับการพิจารณาเพื่อให้ประเทศไทยได้เดินหน้าต่อไปนั้น กลับสลายไปเพราะอารมณ์แบบเด็กๆ ที่ผิดหวังในตัวแกนนำของคนไร้การศึกษาไม่กี่คน

ตอนนี้ ที่น่าสงสารที่สุดคือ "ประเทศไทย" ครับ ผมหวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ในชีวิตที่จะได้เห็นมันอีก หลังจากที่ผมคิดว่า พฤษภาทมิฬในปี 2535 นั้นเลวร้ายอย่างยิ่งแล้ว

ขอบคุณ "คนไทย" ทุกคนที่ช่วยกันครับ