September 19, 2017

เป็นเรื่อง > รักคงดันไม่ไหว (สร้างจากเรื่องจริง)



**************************************************

ทั้งที่เลยเวลานอนแล้ว ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันยังทำให้ข่มใจหลับไม่ไหว
เรื่องเดิมๆ ปัญหาที่เจอ นำไปสู่ความขัดแย้ง และ ลงท้ายด้วยการเมืองในสำนักงาน
แม้มั่นใจว่าเขาไม่ผิด แต่คลื่นปัญหาที่มากระทบ ก็ทำให้จุดยืนเขากระเพื่อมไปไม่ใช่น้อย
จนอดคิดไม่ได้ ว่ายังจะยืนหยัดมุ่งมั่นในเส้นทางสายลูกจ้างมืออาชีพต่อไปหรือไม่

หน้าต่างที่เปิดไว้ ให้อากาศเย็นในหน้าฝนได้แวะเข้ามาโลมเล้า พร้อมกับลมยะเยือกวูบหนึ่ง
เขาไม่ได้หูฝาด ในความเงียบสงัดของคอนโดชานเมือง เสียงเล็กแหลมแหบแห้งลอยมา ถึงห้องเลขที่ 666 นี้

"จะยอมแพ้แล้วเหรอ เหอะๆๆ ไหนว่า เหนื่อยแค่ไหนจะไปให้ได้ไง ฮา ฮ่า ฮ่า"

ไม่ทันที่ความสงสัยว่าเสียงของใครจะวิ่งไปถึงริมฝีปาก เสียงลึกลับกล่าวต่อ

"ไม่ต้องคิดจะหา แกมองไม่เห็นข้าหรอก หึ หึ รู้แค่ว่า ข้าเป็นคนที่ผ่านมาก็แล้วกัน ไอ้หนูเอ๊ย"

"แล้วลุงจะมายุ่งอะไรกับชั้นล่ะ" เขานั่งตัวสั่น พูดกับอากาศธาตุว่างเปล่าข้างหน้า เหมือนมีใครมานั่งคุยด้วย

"ถ้าไม่ไหว ไม่อยากไปต่อ แล้วเอ็งจะมีอะไรที่ทำได้ดีกว่านี้เรอะ"

นั่นสิ นอกเหนือจากงานที่เขาได้ลำบากลำบั่น เรียนจนได้ใบปริญญาตามที่พ่อแม่ต้องการแล้ว เขาจะทำอะไรได้อีกละ ลมเย็นๆ พัดพริ้วๆ ให้ภาพในอดีตปลิววนในความคิด ภาพเขาในครัวกับแม่ผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน

"ทำขนมไง ใช่ๆ ผมเคยบอกแม่ว่า ผมมีความสุขมากเวลาที่ได้อยู่ในครัว ทำขนมอร่อยๆ ให้พ่อกับแม่กิน" ความกลัวค่อยๆ จางลงเมื่อนึกถึงเรื่องในครั้งนั้น จากความอร่อยของขนมที่แม่ทำให้ทาน จนกลายเป็นความอยากรู้อยากเห็น พัฒนาไปถึงการขลุกในครัว นั่งเฝ้าอบขนมได้เป็นวันๆ เพื่อรอยยิ้มของพ่อแม่พี่น้องที่รอทานขนมต่างๆ ที่เขาทำขึ้นมา

"แกแน่ใจเหรอออ ว่าแค่นี้มันพอสำหรับที่จะเอาไปทำมาหากินได้แล้วน่ะ 555 ขำว่ะ ขอหัวเราะเป็นเลขห้าหน่อยนะ"

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะลุง ก็แค่ทำขนมที่เราชอบ ทำในสิ่งที่เรารัก ตามสูตรที่มี ทำให้คนที่เขาชอบเหมือนเรา กำไรไม่ต้องมาก แค่นี้ชั้นก็อยู่กับงานที่ชั้นมีความสุขได้ จะอะไรกันมากมาย" เขาพูดด้วยความมั่นใจ ถึงหนทางอันสดใสข้างหน้าที่เริ่มโชนแสง

"ตลกว่ะ แค่ทำขนมตามสูตรในเน็ตไม่กี่อย่างให้คนในบ้านกิน แล้วจะมีหน้ามาบอกว่า ทำอร่อยได้ยังไง คนพวกนี้เขาก็เออออ เพราะเอ็งเป็นลูกหลานเขาไง ถ้าแน่จริง ทำไมไม่ลองทำให้คนที่ไม่รู้จัก คนที่ไม่รักเอ็งได้ลองกินล่ะ ให้เขายอมรับแบบที่ต้องยอมจ่ายถวายเงินเพื่อให้ได้กินเลยสิ"

"แล้วไอ้ที่นั่งทำขนมไม่กี่ชิ้น ทำไปด้วยความรัก ใช้เวลาเป็นวันๆ นี่ก็ไร้สาระ ถ้าจะทำเพื่อหาเลี้ยงชีวิต ก็ต้องทำให้ได้ทีละสิบ ทีละร้อยชิ้นสิวะ ให้ได้เงินพอที่จะอยู่ต่อไปได้"

แค่สองประโยค ทำเอาความง่วงต้องลาไปนอนทันที ไอ้ผีตาแก่นี้พูดได้เจ็บ แต่มันก็ตรงใจ

"ไอ้หนู เอ็งพิสูจน์ง่ายๆ ก็ได้ เอาสูตรขนมที่มั่นใจแค่ 2 อย่าง ทำมาสักสองสามร้อยชิ้นนะ ขายแบบไม่ต้องหวังกำไร แล้วลองดูว่า คนที่เขาซื้อไปเขาจะว่ายังไงบ้าง ถ้าของมันอร่อยจริง เขาก็จะกลับมาพร้อมกับยอมจ่ายในราคาที่มันควรจะเป็น แต่ถ้าไม่ใช่ 555 ก็ไม่รู้สินะ"

ถึงแม้จะเดาสีหน้าออก หรือ เกลียดเสียงหัวเราะนี้แค่ไหน แต่สาระที่พูดมาเขาก็เห็นด้วยหลายส่วน

"หลังจากนี้ เอ็งก็จะรู้ตัวแล้วว่า ทางนี้มันใช่หรือเปล่า หรือว่า เราต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติมอีก หรือที่แย่ที่สุด ที่ข้าไม่อยากพูดแต่จำเป็นต้องเหลา คือ มันไม่ใช่แล้วเอ็งหลงเข้าใจผิดมาตลอดเพราะไอ้คนรอบข้างที่มันไม่อยากพูดความจริงไง"


ตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนปีศาจตนนี้กำลังยืนให้โอวาทอยู่ตรงหน้า เขาสงบนิ่ง คิดตาม

"เอ็งต้องพิสูจน์ พิสูจน์ความเชื่อของตัวเอง พิสูจน์ฝีมือในการทำขนมและการจัดการ พิสูจน์ให้คนรอบข้างรู้ว่า แค่ความรักมันดันชีวิตเราได้ไม่พอ มันต้องทุ่มเท ต้องยอมลำบาก เพื่อให้อยู่รอด ให้พวกเขาได้เห็นว่า แกยังมีขนมที่ทุกคนต้องยอมรับ ไม่ว่าจะรักหรือไม่รักเอ็งก็ตาม หึ หึ เป็นไง จบได้ดีไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า เขินตัวเองว่ะ"

ไอ้ผีชรานี่มันต้องบ้าแน่ๆ แต่มันบ้าจริงเหรอ หลักการถึงได้เยอะเยี่ยงนี้

"เอาล่ะ ข้าต้องไปละ ไม่ต้องตะลึง ไม่ต้องน้ำตา ไม่ต้องมาม่า สิ่งสุดท้ายที่ข้าจะบอกเอ็งนะ อย่ามัวแต่ฟังแล้วฝันหวาน ลุกขึ้นไปทำมันซะ ทำก่อน ล้มก่อน ไปถึงก่อน แล้วเอ็งก็จะสบายก่อน"

เขาหันซ้าย หันขวา เพื่อจะมองหาตัวตนของวิญญาณเร่ร่อนรายนี้ เพื่อขอบคุณจากใจจริง แต่เสียงที่เริ่มจะคุ้นเคยก็ค่อยๆ ลอยห่างออกไป ออกไป พร้อมกับลมเย็นๆ ที่พัดมาอีกครั้ง

"... 555 แต่ตอนนี้ ข้าก็ต้องลาก่อนนนนนนแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอให้โชคดี ไอ้หนู"