April 23, 2010

มองมุมเหม่ง > ส้มตำเสี่ยงตาย ราคาของชีวิต (How much of your life?)

รถวิ่งปานลมพัด
คนเดินตัดฉวัดเฉวียน
รอดตายก็ได้กิน
**********************************
เร็วๆ นี้เอง มีรายการทีวีที่ได้รับความนิยมพอสมควร แนะนำร้านอาหารอีสานแห่งหนึ่ง ตรงถนนวัฒนธรรม ตรงข้าม อสมท. ครับ ร้านนี้เป็นร้านส้มตำข้างทางธรรมดา แต่ลูกค้าเรียกชื่อ (เล่นๆ) ว่า "ส้มตำเสี่ยงตาย"

เป็นเพราะตำแหน่งของร้านนี้ อยู่ริมถนนวัฒนธรรมฝั่งตรงข้าม อสมท. ที่มีการเดินรถแบบวันเวย์ มุ่งหน้ามาจากแยกผังเมือง มาบรรจบกับรถที่เลี้ยวมาจากแยกเหม่งจ๋าย ก่อนที่จะตรงไปศูนย์วัฒนธรรม หรือ จะออกไปเส้นรัชดาภิเษก ก็แล้วแต่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า รถทุกคันจะทำความเร็วตั้งแต่เลี้ยวผ่านแยกมา เพราะเป็นถนนตรงยาว

ประเด็นคือ รายการได้เน้นย้ำถึง "ความตื่นเต้น" ของเหล่าลูกค้าที่ต้องข้ามถนนมาเพื่อกินอาหารร้านนี้ครับ

ลูกค้าทุกคนรู้สึกสนุกสนาน เมื่อต้องเสี่ยงข้ามถนนเส้นนี้ ที่มีประมาณ 4 เลน พร้อมกับรสชาดที่อร่อยกับราคาไม่แพงนัก จบรายการแล้วก็มีหลายคนที่อยากจะไปลองกิน รวมถึงตัวผมเองด้วย

แต่อีกมุมหนึ่ง มีใครคิดถึงความเสี่ยงของอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นบ้างไหม หรือ คิดถึงคนที่เขาขับรถมาบ้างไหม

ถ้าขับๆ มาแล้ว ต้องเบรกกระทันหัน เพราะมีคนข้ามถนนตัดหน้า ถ้าไม่ชนคน ก็โดนรถคันหลังสอยซะ

เพื่ออะไรกันเนี่ย แค่คนที่ข้ามต้องการกิน "ส้มตำ" เท่านั้น

ท่าจะเป็นส้มตำที่ราคาแพงที่สุดในโลกกระมัง ถ้าต้องแลกด้วยชีวิต และทรัพย์สินที่เสียหาย

มิไย ที่ราชการพยายามจะประชาสัมพันธ์ให้ "คนขับ" มีวินัย แต่หารู้ไม่ บางทีเราจำเป็นที่ต้องให้ความรู้กับ "คนที่ใช้ถนน" ทุกคนนะครับ

หวังว่าทุกท่านที่อยากลิ้มลองของอร่อย คงไม่ต้องคกเป็นผู้โชคร้าย หรือเป็นต้นเหตุให้คนอื่นๆ ต้องซวยเพราะความอยากราคาไม่กี่สิบของคุณเลยนะครับ

April 18, 2010

มองมุมเหม่ง > กีฬาสี มีข้อคิด (Human Color)


ท่ามกลางความสับสน และวุ่นวายในทุกวันนี้ ทำให้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ในเทศกาลสงกรานต์เหือดหายและเศร้าใจ เพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเหมือนกับปีที่แล้วที่ผ่านมา
นอกเหนือจากเสียงลำโพงการปราศรัย และเสียงปืน รวมถึงระเบิดที่ดังกระหึ่ม ยังมีการโจมตีกันด้วยข้อมูลข่าวสาร นอกเหนือจากสื่อหลักทั้งทีวี วิทยุ แล้ว อินเตอร์เน็ตก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ผู้คนจะรับข่าวสาร รวมถึงการแสดงออกทางความคิด ทั้งแบบเปิดเผย หรือแบบตัวตนสมมติได้อย่างเต็มที่

ทำให้เห็นได้ชัดว่า เมื่อเทียบกับยุคพฤษภาทมิฬ เมื่อปี 2535 ที่เราแค่ "เห็น" ได้อย่างที่เขา "อยาก" ให้เราเห็นแล้ว โลกเราช่างวัฒนาไปไกลยิ่งนัก ในยุคต่อไป การซ่อนเร้น ความจริงบางอย่างจะยากยิ่งกว่าเดิม วัฏจักรของกรรมจะสั้นลง ไม่ใช่ต้องรอถึงชาติหน้าที่ไม่รู้ว่าจะมีไหม แต่หลายๆ ตัวอย่างก็ทำให้เรารู้ว่า "วงจรของกฏแห่งกรรม" ก็มีการปรับตัวตามเทคโนโลยีเช่นกัน

ระหว่างทางการสนทนากับผู้คนหลากหลายวงการ หลายชนชั้น ผมได้รับคำถาม และรายละเอียดของแต่ละฝ่าย แต่ละสีที่เล่นกันอยู่ ผมตอบคำถามพวกเขาตรงๆ ว่าจุดยืนของผมไม่ใช่ทั้ง "แดง" หรือ "เหลือง" แต่เราอยู่กับความถูกต้อง และสิ่งที่มันควรจะเป็น

ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้กฏหมู่เพื่อยึดสนามบิน หรือ การปิดถนนย่านธุรกิจที่สำคัญ แม้กระทั่งการอ้างสถาบัน หรืออะไรบางอย่างเพื่อบังหน้าความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง

ผมเชื่ออยู่เสมอว่า โลกนี้ไม่มีใครโง่กว่าใคร เพียงแต่เขารู้ข้อมูลน้อยกว่าเราต่างหาก "การศึกษา" เป็นทางหนึ่งที่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ อย่าง (น้อย) ก็เท่าเทียมกัน ถึงตอนนั้นแล้ว ใครจะเลือกตัดสินใจอย่างไร ตามกฏกติกาที่ตกลงกันไว้ของส่วนรวมก็ต้องยอมรับกัน

อันนี้ใช่ที่เขาเรียกกันว่า ประชาธิปไตย หรือเปล่า

อีกประเด็นที่ผมได้ยินจากฝ่ายสนับสนุนคนดูไบว่า ถึงข้อเท็จจริงจะปรากฏแล้วว่าในยุคสมัยของเขานั้น มีการคอร์รับชั่น ทั้งจากทางปกติและเชิงนโยบาย แต่เงินส่วนหนึ่ง ก็ได้เผื่อแผ่มายังพี่น้องประชาชนผู้ยากไร้ด้วย เมื่อเทียบกับยุคอื่นๆ ที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีการคอร์รับชั่นไม่แพ้กัน แต่พวกเขาไม่ได้แม้แต่กลิ่นของเศษเนื้อข้างเขียงเลย อย่างน้อย "กินแล้วแบ่ง" มันก็ดีกว่า "กินรวบ" ละกัน

ผมไม่แปลกใจกับตรรกะความคิดแบบนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่ว่า เขา "กินแล้วแบ่ง" ให้พวกเรา แล้วเขาเป็นคนดี

ประเด็นคือ เขา "กิน" ต่างหาก แค่คิดจะ "โกงกิน" มันก็ผิดแล้ว เหมือนโรบินฮูดนั่นแหละครับ ปล้น ก็คือ ปล้น จะปล้นคนดี ปล้นคนรวย ปล้นโจร ก็ผิดเหมือนกัน กฏหมายไม่มีข้อยกเว้น

ลองคิดดูว่า ถ้ากฏกติกาทุกอย่างมีข้อยกเว้นตลอด บ้านเมืองมันจะเดินต่อกันอย่างไร

แถม "กินแล้วแบ่ง" นี้ มองให้ดี มันกินเยอะกว่ากินรวบอีก เพราะต้อง "กินเผื่อ" ไว้ด้วย ผลเสียตกที่ประเทศชาติ แต่ในประเทศนี้ คนที่อยู่ คนที่เสียภาษีคือพวกเราไม่ใช่เหรอ

อีกอย่างที่ผมสนับสนุนและคิดว่า ควรจะได้รับการปรับปรุงก็คือ "ระบบการตรวจสอบ ที่ยุติธรรมต่อทุกฝ่าย" ผมเห็นฝ่ายสีแดงมีการพูดถึงประเด็นนี้เหมือนกัน แต่ไม่ได้ยินว่าเขาเน้นย้ำถึงจุดนี้กันหรือไม่

ต้องอย่าลืมว่า ระบบการตรวจสอบที่ดีและเข้มแข็ง ทั้งจากภาครัฐ (อัยการ ศาล) และภาคเอกชน (หนังสือพิมพ์ ทีวี) ทำให้สามารถเปิดโปงการทุจริตต่างๆ ได้หลายกรณี ซึ่งเราจำเป็นต้องพัฒนาให้มีมาตรฐานเหมือนต่างประเทศ ตรวจสอบได้ทุกระดับชั้น ไม่ว่าอำมาตย์ หรือไพร่อย่างพวกเราก็ตาม

ถึงวันนั้นแล้ว ผมเชื่อว่า พี่น้องคนไทยด้วยกัน คงจะมีความสุขในวันสงกรานต์กันมากกว่าที่เป็นอยู่ครับ