October 31, 2009

มองมุมเหม่ง > ขอขึ้นรถไฟฟ้าด้วยคน (From BTS Love Story to Copy Culture)

ลิขสิทธิ์ตรงไหน
ฉันชอบใจก็อปใส่ไปให้
ไม่ต้องมาขอบใจ
**********************

วันนี้หนังเรื่อง "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ" ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาทแล้ว ประสาคนชอบดูหนังไทย ประทับใจทีมงานผู้กำกับและ GTH ก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ

ทั้งเรื่อยย่อ เนื้อหา ความเป็นมา ดารา ถ้าสนใจก็หาได้นะครับ มีเกลื่อนกลาดเต็มเว็ปไปหมด ที่วิกิพีเดียก็มีคนมีน้ำใจจัดการมาให้ (ไม่รู้ว่าใช่ทีมพีอาร์ของผู้สร้างหรือเปล่า เพราะเดี๋ยวนี้ทำหนัง ไม่ใช่แค่งานสร้างอย่างเดียว ต้องคิดถึงเรื่องการตลาดทั้งก่อนและหลังด้วย)

ดูหนังแล้ว ผมสนใจที่จะอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับดาราสมทบ คนที่เล่นบทพ่อและแม่ของนางเอก "เหมยลี่" (แสดงโดย คริส หอวัง - ชื่อฝรั่ง นามสกุลไทย แต่หน้า หม๊วย หมวย) บอกตรงๆ ว่า บางฉากออกมา ตัวละครหลักถึงกับ "หมอง" ก็ว่าได้ เลยพยายามค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่ก็ไม่เจอ แม้กระทั่งเว็บอย่างเป็นทางการของหนังเรื่องนี้เองก็ไม่มีรายละเอียดให้ครับ ต่างกับหนังต่างประเทศหลายๆ เรื่องที่เขามักจะให้เกียรติทีมงานทุกฝ่าย จะมีข้อมูลให้อย่างครบถ้วน รายชื่อเด็กยกไฟ เขายังให้เครดิตเลย

สิ่งที่ต้องการหากลับไม่เจอ (ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะหาอะไรไม่เจอในโลกอินเตอร์เน็ตใบนี้) แต่ผมกลับพบว่า มีการพูดถึง "มาม่า" ในหนังอย่างมากมาย (2 ครั้ง ตอนแรกที่บ้านพระเอก พระเอกต้มให้นางเอกก่อนไปนั่งรถเที่ยวกัน และตอนที่ นางเอกอยู่บ้่านคนเดียวและพยายามต้มทานเอง)

ถ้าตัดประเด็นที่ว่า หนังเรื่องนี้ได้สปอนเซอร์หรือเปล่า (กลยุทธ์การ Tie In สินค้า - พยายามให้สินค้าเข้ามามีส่วนในหนังหรือละคร ให้เกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งของบท หรือของตัวเอก เพื่อให้คนดูให้ซึมซับไป เรียกว่าโฆษณาแฝงก็ได้ครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้ทำกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว) คนเขียนพยายามจะเชื่อมโยงตีความพฤติกรรมการกินมาม่าของนางเอกนั้น เกี่ยวข้องกับความอดทนในการรอของความรักที่จะเข้ามา เพราะมาม่าเขาให้รอ 3 นาที แต่นางเอกชอบกินเส้นกรอบๆ รอแค่ นาทีเดียว ซึ่งความรักมันใจร้อนกันไม่ได้

เม้ากันเว็บแตกเลยครับ ตื่นเต้นกับการตีความในนัยยะนี้กันใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วหลายๆ คนตอนเด็กๆ ก็ฉีกซองกินมาม่าเปล่าๆ กันเป็นขนมก็บ่อยไป

ครับ จะตีความกันอย่างไร นั่นไม่สำคัญ ผมว่าดีเสียอีก จะได้ฝึกให้มองอะไรให้ลึกกว่าที่เห็นบ้าง

แต่ที่สงสัยคือ ข้อความหรือบทวิเคราะห์ดังกล่าวนั้น ถูกก็อปปี้กันกระจายไปตามเว็บต่างๆ มากมาย เนื้อหา ตัวสะกดเดียวกันเด๊ะ โดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาเลย ผมเองคลิกๆ ดูหลายๆ ที่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนเขียนเรื่องนี้กันแน่ แต่งานคุณกระจายไปหมดแล้วครับ ขอดีใจและเสียใจในคราวเดียวกัน

สิ่งเหล่าีนี้บอกอะไรเราบ้างครับ

ในแง่บวกนั้น ทำให้เราได้เห็นถึงพลังของ Social Networking หรือเครือข่ายทางสังคม จากพื้นฐานของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ที่ทำให้เราอยากบอกต่อ "สิ่งดีๆ " (ในความคิดของเรา) ให้กับคนรอบข้าง ซึ่งทุกวันนี้สินค้าหลายๆ รายก็พยายามที่จะสร้างประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้เช่นกัน

มีบวกแล้วก็ต้องมีลบ อย่างแรกเลย วัฒนธรรมการก็อปปี้กำลังจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ด้วยข้ออ้างที่ว่า "ฉันเห็นว่ามันดี ฉันเลยอยากบอกต่อ" บางคนถึงกับอ้างด้วยว่า "ต้องมาขอบคุณฉันด้วยซ้ำ อุตส่าห์โฆษณาให้ฟรีๆ นะเนี่ย" ซึ่งทำให้ผมไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกเรื่องลิขสิทธิ์มันจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ ไหม วันนี้คุณละเมิดแค่เนื้อหา บทความ แล้วต่อๆ ไปละครับ ความรู้สึกผิดถูกมันจะเหลือเท่าไร

อีกเรื่องคือ เรามักจะเอาตัวเราเองเป็นตัวตั้ง ในการ "ตัดสิน" ว่าคนอื่นๆ "ต้อง" รู้เรื่องนี้ เรื่องนั้น แล้วเราก็แค่ส่งต่อไปให้ แต่เราเคยถามเขาไหมครับ ว่าอยากได้ไหม หรือที่ส่งไปนะ ถ้าหากมีไวรัส หรืออะไรที่ทำให้เขาได้รับความเสียหาย อันเนื่องมาจากความประมาทของเราแล้ว มันคุ้มค่าไหม กับไมตรีที่ียื่นไปให้ คงจำกันได้นะครับ วิกฤตการณ์ไวรัสดังๆ ที่แฝงไปกับเมล์หรือรูป ก็ฉวยโอกาสจากแนวคิด "หวังดี" อย่างนี้เช่นกัน

อย่าให้เจตนาดีๆ ของเราต้องทำให้ความรู้สึกชั่วดีในเรื่องลิขสิทธิ์มันเลือนหายไป และเป็นเครื่องมือทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจนะครับ

October 28, 2009

มองมุมเหม่ง > อีก 30 วัน ฉันจะตาย (Die Another 30 Days)

เวลานั้นเท่ากัน
เธอกับฉันต่างกันแค่ไหน
อยู่ที่ทำอะไร
********************

ชีวิตคนเรา มักจะมีช่วงเวลาที่ "ไม่รู้ว่าจะทำอะไร" เสมอๆ ผมได้ยินวลีเหล่านี้บ่อยๆ ในช่วงใกล้สิ้นปี หลายบริษัทจะกำหนดให้พนักงานใช้วันลาพักร้อนให้หมดไปพร้อมๆ กับวันส่งท้ายปีเก่า จะได้ไม่ค้างคากัน ในมุมของบริษัท วิธีนี้ก็ง่ายในการบริหารจัดการ แต่ส่วนใหญ่แล้ว พวกเรามักไม่ค่อยได้วางแผนกัน เผลออีกทีจะสิ้นปี ฝ่ายบุคคลก็มาเร่งให้ใช้ให้หมด มิฉะนั้นจะเสียของไปเปล่าๆ

ทีนี้แล้ว เดือนธันวาคมก็จะรับเคราะห์กันไปสิ ลากันให้จ้่าละหวั่น งานการไม่ต้องทำ ไม่สนใจว่าผลกระทบจะมากน้อยขนาดไหน เท่าที่ถามส่วนใหญ่ลาไปก็ "ไม่ีรู้ว่าจะทำอะไร อยู่บ้านเฉยๆ" เพียงเพราะ "ฉันไม่ต้องการเสียสิทธิ์" เท่านั้น แม้ว่าบางบริษัทจะให้เอาวันลาแลกเป็นค่าแรงแทน แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยม เพราะนอกจากจะเพิ่มงานทั้งฝ่ายบุคคล ฝ่ายการเงินแล้ว ก็จะมีพนักงานที่ไม่ยอมลาพัก ไม่ใช่ว่าขยันนะครับ แต่อู้งานในวันปกติเพื่อเก็บวันลาไปแลกเป็นเิงิน ซึ่งก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งเช่นกัน

การปลูกฝังเรื่องการวางแผนการทำงาน ก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ต้องรดน้ำพรวนดินกันต่อไป

อาการ "ไม่มีจุดหมาย" ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะว่า ณ จุดเวลานั้น เราอาจจะต้องการพักผ่อน ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป หลัีงจากผ่านงานที่หนักมา หรือ เรายังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องทำอะไร ช่วงเวลานี้จะยาวหรือจะสั้นก็ตามแต่กรรมเก่าของแต่ละคน บางคนก็ปล่อยตัวเองให้เคว้งคว้างสุดๆ กันเป็นปี บางคนช่วงเวลานี้ก็สั้นๆ ต่างกันไป

แต่ถ้าสมมุติว่า "เวลาเรามีเหลือแค่นี้เองล่ะ ฉันจะทำอย่างไร" พล็อตแบบนี้ ใชักันบ่อยในหนังหลายเรื่องแล้ว เช่นหนังเรื่อง Ikigami (หรือในภาคการ์ตูนเรื่อง อิคิกามิ สารสั่งตาย) คือคนที่ได้รับจดหมายจากทางรัฐบาล แจ้งว่าจะมีชีวิตเหลือ 24 ชั่วโมงก่อนที่จะตายด้วยยาพิษระเบิดเวลาที่ฉีดไว้ตอนเกิด แล้วก็มาดูว่าแต่ละคนจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างไร สนุกดีครับ

ดูหนังแล้ัว ลองเอามาคิดเล่นๆ กันไหม เอาสัก 30 วันละกัน ไม่มากไม่น้อย แค่ปฏิทินแผ่นเดียว วิธีคิด การกระทำเราจะเป็นอย่างไร เชื่ีอได้เลยว่า ประโยคที่เราถกกันอยู่ีนั้นจะหายไปในพริบตา แล้วก็จะกลับกลายเป็นว่า "โหย..ฉันยังมีอะไรที่ต้องทำโน่น ทำนี่อีกเยอะเลย ยังไม่พร้อมที่จะตายหรอก บลา บลา บลา"

เห็นไหมครับ เมื่อกี้ยัง "ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลย" แค่แปปเดียว รายการยาวกว่าหางว่าวอีก

ลองถามตัวเองดูนะครับ ว่า ถ้าเป็นเราแล้ว
1) อะไรที่เราอยากทำที่สุด
2) อะไรที่ต้องทำ แต่เราผลัดวันประกันพรุ่งมาเรื่อยๆ เขียนออกมาแล้ว เราอาจจะพบว่า ที่ผ่านมานั้น เราอาจทำ "สิ่งสำคัญบางอย่าง" หล่นหายไปในระหว่างการหายใจในแต่ละวันก็เป็นได้
3) สุดท้ายที่นึกออก แต่คงไม่ท้ายสุด เราอยากจะให้คนที่อยุ่ข้างหลังเรา "จดจำ" เราอย่างไร

ผมลองคิดเล่นๆ ของผมเอง อย่างแรก ผมคงต้องเตรียมตัวที่จะ "ตาย" (โดยไม่ให้คนอื่นเดือนร้อนกันมากไปกว่าการฝ่าการจราจรมางานศพผม แถมด้วยความดีใจที่เขาคนนั้นจะเจอ "คนอื่นๆ" ที่ไม่ได้พบกันนานมาก) โดยขอให้คนที่ผมรู้จักและนับถือ เขียนถึงผมในมุมมองของพวกเขา อย่างน้อย ผมก็อยากมีโอกาสได้อ่านหนังสืองานศพตัวเองว่า คนอื่นเขาจะรู้สึกกับเราอย่างไร ซึ่งเท่าที่รู้ คนที่ตายไปแล้วหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้อ่านกัน (หรือได้อ่านตอนตายไปแล้ว แต่ไม่ต้องมาบอกผมนะครับ บรื๋อออ)

แล้วผมคงร่างรายการที่อยากทำ ในวัยที่เด็กกว่านี้รายการส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องคึกคะนอง แต่ปูนนี้แล้ว คงเป็นการ "ให้" หรือทำดีกับคนอื่นๆ ให้มากกว่านี้ แม้ว่าเรายังพิสูจน์เรื่องโลกนี้ โลกหน้า กรรมเวร กันไม่ได้ชัดเจน แต่ทำไว้มันก็สบายใจ ณ ปัจจุบันนี้เลย

แล้วคุณล่ะ คิดว่าถ้าเหลือแค่ 30 วัน จะทำอะไรกันบ้างครับ???

มองมุมเหม่ง > นิ้วที่ยาวไม่เท่ากัน (Yes, We Are Different !!)

มือนิ้วยาวไม่เท่า
เหมือนเช่นเรากับเขาที่เป็น
แตกต่างแต่ล้วนดี
*************************

ผมเป็นคนหนึ่งที่โตมาในครอบครัวที่มีสมาชิกมากมาย ตามแบบฉบับของครอบครัวคนจีนอพยพยุคที่ 2 ยุคที่อยู่รวมกับเป็นครอบครัวใหญ่ในบ้านเดียวกันหลายครอบครัว มีลูกหลานหลายคน
และพ่อแม่ของพวกเราได้รับการศึกษาดีกว่ารุ่นบุกเบิก ใช้เสื่อแทนที่นอนเช่นรุ่นปู่รุ่นย่า ประมาณว่าเรื่องลอดลายมังกรที่เคยฉายไปนานแล้วก็ได้ครับ คล้ายกับครอบครัวคนไทยสมัยก่อนเหมือนกัน

มองในมุมหนึ่ง ก็ดูอบอุ่นและดีในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว

แต่อย่างหนึ่งที่ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงจะมีประสบการณ์ร่วมคือ "การเทียบลูกเขาลูกเรา" ครับ

ถ้ายังนึกไม่ออกจะดูเหตุการณ์นี้ประกอบก็ได้ครับ (นามสมมติทั้งนั้น)

แม่ 1) "เนี่ยผลสอบของตาโก้ ออกมาแล้ว แย่จัง ได้เกรด 3 มาตัวเดียว ที่เหลือ 4 หมด แล้วของตาแม็คละ เป็นไงบ้าง"
แม่ 2) "เอ่อ... ก็พอได้นะ ได้เกรด 3 มาตัวเดียวเหมือนกัน ที่เหลือเห็นแต่ 2 กับ 1 นะ สงสัยครูคงเขียนผิด แหะ แหะ"
แม่ 1) "ต๊าย ทำไมเป็นยังงี้เนี่ย เรียนห้องเดียวกันแท้ๆ แฟนเธอก็ออกจะเก่ง เธอต้องเข้มงวดหน่อยนะ จะให้ชั้นช่วยอะไรก็บอก เรามันคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจ..." (บลา บลา บลา)

พอนึกได้แล้วใช่ไหมครับ นอกจากเรื่องเรียนแล้ว ก็จะเป็นเรื่องอื่นๆ เช่น การกินการอยู่ สุขภาพ พัฒนาการทางร่างกาย จิปาถะครับ โดนกันถ้วนหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเด็กๆ อย่างเราที่ต้องมารองรับความคาดหวังจากผู้ใหญ่เหล่านี้ บนเหตุผลของ "ความหวังดี" ที่ลึกๆ แล้วต้องยอมรับว่ามีความสะใจ แฝงอยู่อย่างไม่รู้ตัวก็ตาม

จะมากจะน้อยขึ้นกับความใกล้ชิดของตัวพ่อตัวแม่ และวัยของเด็กด้วยครับ วัยเดียวกันก็ซวยหน่อย ความแตกต่างไม่ค่อยมี ซึ่งไปสร้างความกดดันและสงสัยให้เด็กแท้ๆ ว่า กูจะเป็นแบบนี้ไม่ได้หรือไงวะ ตอนออกมาก็มาจากคนละมดลูกนี่หว่า (ตอบอย่างนี้ อนาคตต้องแพทย์แน่นอน)

ผู้ใหญ่เหล่านี้เองคงไม่ได้จะตั้งใจจะซ้ำเติมกันขนาดนั้น บ้างก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ตามชุดสนทนาสำเร็จรูป แต่รูปแบบสังคมเราเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งเด็กในตอนนั้นก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในตอนนี้ ก็เริ่มกลับมาตั้งคำถามและส่งเสียงดังๆ กันบ้างแล้ว

ไม่อย่างนั้น เราคงไม่เห็นโรงเรียนทางเลือกแบบต่างๆ หรือ วิธีการสอนแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง ให้เรียนรู้กันเองเหล่านี้หรอกครับ นี่ก็เป็นทางออกอย่างหนึ่ง

แต่สำหรับเด็กหรือตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า "ลูก" ของเราเอง เราจะสอนเขาอย่างไรดี

อย่างแรก
ต้องบอกเขาว่า คนแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ไม่มีใครที่เหมือนกัน แต่ทุกๆ คนสามารถ "เลือก" ที่จะเป็นได้ บางคนอยากเป็นตำรวจ อยากเป็นหมอ อยากเป็นวิศวะ หรืออยากเป็นยามก็แล้วแต่ความรักในดวงใจของแต่ละคน
ถัดมา คนเป็นพ่อแม่ต้องยอมรับด้วยนะครับ ว่าปัจจุบัน ชีวิตเราพบการเปรียบเทียบ การแข่งขันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่ปฏิสนธิ จนกระทั่งการจองที่นอนบนเชิงตะกอน เราจะไปแก้ตัว หรือแก้ต่างให้ลูกเราไม่ได้ตลอดหรอกครับ เงาเรายังต้องพักตอนพระอาทิตย์ตกดินเลย

เมื่อยอมรับแล้วว่า การแข่งขันการเปรียบเทียบมันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง ก็สอนให้เด็กเขาเข้าใจสิครับ ให้เขาเห็น "ด้านบวก" ของการเปรียบเทียบว่า มันเป็นมาตรวัดอย่างหนึ่งที่จะทำให้เขาพัฒนาขึ้น ทำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าเดิม ยอมรับว่าทุกอย่างมีแพ้ มีชนะ แพ้แล้วก็กลับไปฝึกฝนใหม่ ปรับปรุงวิธีการต่างๆ ให้ดี ให้ต่างออกไป ไม่จำเป็นต้องกลุ้่มใจ ทำหน้าย่นไม่สมกับวัย เครียดไปเปล่าๆ

อีกประเด็นที่สำคัญคือ สอนให้เขานอบน้อมที่จะรับฟังความคิดเห็น และคำวิจารณ์ สอนให้เขา "คิด" ว่าสิ่งที่ "คนพูด" พูดมานั้น เขามีความรู้ หรือประสบการณ์มากพอที่จะวิจารณ์หรือไม่ และ "เนื้อหา" ที่เขาพูดมันสมเหตุสมผล เชื่อถือได้หรือเปล่า เพราะทุกวันนี้ คำแนะนำบางอย่างก็ยิ่งกว่าแอปเปิ้ลพิษอีกนะครับ (อืม จะรู้ไหมหนอ ว่าพูดถึงเรื่อง สโนไวท์ แล้วสมัยนี้เขาจะยกตัวอย่างอะไรกันนะ)

ประกอบกับถ้าเราสอนเด็กๆ ให้เข้าใจและมองเรื่องเหล่านี้ในทาง "บวก" ด้วยภาษาหรือตัวอย่างง่ายๆ ก็ไม่ต้องกลัวแล้วละครับ ว่าคราวหน้าจะเศร้าใจว่าใครจะมาพูดอย่างไร

เพราะเขาได้รับภูิมิคุ้มกันที่ชื่อว่า "ปัญญา" และ "ความรัก" จากพวกเราไปแล้วไงครัีบ

October 26, 2009

มองมุมเหม่ง > รักเธอประเทศไทย (Don't Cry For Me, Thailand)


ไทยนี้รักสงบ
ว่างก็รบฆ่าฟันฉันท์เพื่อน
แม้เตือนก็เลือนไป
**********************

สุดสัปดาห์ยาวๆ ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าน่าจะมีความสุขตามอัตภาพ แต่พอจะพยายามติดตามข่าวสารบ้านเมืองให้ทันด้วยการอ่านข่าวย้อนหลัง
พลันก็รู้สึกถึงความเศร้าที่เฝ้าเกาะกุมโดยไม่รู้สาเหตุ เหมือนกรรมเก่าที่วิ่งมาตามสายอินเตอร์เน็ต ลองอ่านดู เผื่อความเหงาเศร้าจะติดเชื้อแจกจ่ายไปยังผู้อ่านทุกท่านบ้าง

- บริษัทสิงคโปร์อาสา อบต. ตะกั่วป่า ขุดลอกตะกอนทรายปากแม่น้ำให้ฟรีไม่คิดมูลค่า (ของฟรีก็มีในโลกด้วย) ขอค่าแรงเป็นทรายที่ขุดได้แทน มีข่าวต่อเนื่องว่า ทรายดังกล่าวมีปริมาณซิลิกาออกไซด์สูงถึง 73.75% ซึ่งน้อยกว่าค่าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ที่ร้อยละ 75% (ตั้งเกือบ 2 เปอร์เซนต์) ทำให้สามารถส่งออกทรายดังกล่าวได้
- สิ่งที่บางคนแกล้งไม่รู้คือ / ซิลิกาออกไซด์ดังกล่าวสามารถสกัดเป็นสารซิลิกอน เพื่อให้เป็นวัตถุดิบในการทำสารกึ่งตัวนำ ในธุรกิจอิเลกทรอนิกส์ ราคาประมาณ 132,000 บาท/กก. หรือถ้าประมาณจากปริมาณทรายทั้งหมดที่ 21 ล้่าน ลบม. จะ
ได้ซิลิกาประมาณ 336 ล้านกก. เป็นเงินคร่าวๆ 45 ล้านล้านบาท ต่อ (มติชน 25/10/52)

- นักวิเคราะห์ต่างชาติคาดราคาข้าวมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากสต๊อกข้าวของผู้ส่งออกรายใหญ่ในโลก 5 รายมีปริมาณลดลง ประกอบกับวาตภัยที่ีฟิลิปปินส์ทำให้ต้องนำเ้ข้าข้าว 2 ล้านตันเพื่อทดแทนผลิตผลที่ถูกทำลาย รวมทั้งคู่แข่งจากอินเดียก็ไม่มีข้่าวส่งออกเช่นกัน (เฮ เฮ ชาวนาไทยฝันหวาน)
- เรื่องน่าเศร้าเมื่อตื่นขึ้นมา / ราคาประกันจากรัฐบาล 10,000 บาทต่อตัน ราคารับซื้อหน้าโรงสีจากราคา 8,000 บาทเหลือเพียง 5,000 บาท เนื่องจากราคาที่ต่างประเทศรับซื้อปรับตัวลดลง (ทำไมถึงปรับตัวลดลงล่ะ?? โฮ โฮ ชาวนาไทยฝันเปียก)
- น่าเศร้ากว่านั้น / ราคาส่งออกเดิมอยู่ที่ 600 เหรียญต่อตัน (21,000 บาท) แต่พ่อค้าไทยตัดราคากันเองเหลือ 19,950 บาทต่อตัน ทำให้ลูกค้่าต่างชาติชลอการซื้อออกไปเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด (ประชาชาติธุรกิจ 22/10/52)

- สำนักข่าวต่างประเทศชื่อดัง ร่วมกับต่างชาิติปล่อยข่าวลืออัปมงคลทุบหุ้นวันที่ 14 ที่ผ่านมา โดยพบบัญชีต้ัองสงสัยจากบริษัทหลักทรัพย์ชื่อดังสัญชาติสิงคโปร์ พร้อมกับขบวนการคนไทยที่ร่วมมือกันทำำกำไรนับร้อยล้าน (คมชัดลึก)

อย่าเพิ่งเหนื่อยนะครับ ต่ออีกสักนิด

- สหภาพการรถไฟประท้วงหยุดเดินรถ จับประชาชนเป็นตัวประกัน (ทั้งที่ไม่ได้เสพยาบ้า) อ้างสาเหตุรถเก่า ไม่พร้อม แท้จริงต้องการต่อต้านการแปรรูปการรถไฟ เผยมีสินทรัพย์นับหมื่นล้าน (คมชัดลึก) แม้ว่าจะดำเนินการมาแล้วตั้ง 111 ปี มีรถจักรดีเซลเป็นที่แรกในเอเซีย ทั้งที่จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม พม่า ล้วนแล้วแต่ต้องมาูดูงานที่เมืองไทย แต่การเมืองและการโกงกินทำให้การรถไฟไม่ไปถึงไหน ทั้งที่ีมีศักยภาพที่จะผลิตหัวรถจักรไว้ใช้งานเองด้วยซ้ำ รวมถึงปัญหาขนาดราง 1.0 เมตรที่ไม่เป็นมาตรฐานสากลที่ 1.43 เมตร ทำให้หัวรถจักรบางคันมีอายุึถึง 48 ปี (ประชาชาติธุรกิจ)

- บิ๊กจิ๋วเผยหลังกลับจากกัมพูชา หลังคุย "ฮุนเซน" ราบรื่น ทั้งเขตแดนเขาพระวิหาร เรื่องขุดก๊าซและน้ำมัน ย้ำส่งเรื่องมาสองครั้งแล้ว สุเทพไม่สนใจ และเรื่องทักษิณ บอกทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม เมียฮุนเซนถึงกับร้องไห้เมื่อรู้ชะตากรรมตกอับต่างแดน บอกสร้างบ้านอย่างดีไว้รอต้อนรับแล้ว ย้ำจะเป็นเพื่อนไปตลอดกาล อภิสิทธ์ไม่เสียหน้า บอกแล้วแต่วิจารณญาณของฮุนเซนเอง (กรุงเทพธุรกิจ)

ครับนี่แค่ประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเท่านั้น เดี๋ยวนี้ความอดทนกับรายละเอียดข่าวพวกนี้ของผมต่ำลงไปมากทีเดียว แต่ว่าระดับความดัน และอะดรีนาลีนจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรงแทน

แต่เอาข่าวลดความเครียดไปหน่อยละกันครับ ไม่ใช่ข่าวมิยาบิซ้อนมอร์เตอร์ไซค์โจอี้บอย หรือว่า หลินปิงไล่เตะก้นแม่ แต่เป็น

- แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 33 คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รายงานว่า พระอาการโดยทั่วไปคงที่ พระกำลังพระวรกายแข็งแรงขึ้น เสวยพระกระยาหารและทรงพระบรรทมได้เป็นปกติ(ผู้จัดการ) ในหลวงเสด็จลงจากห้องประทับเพื่อถวายสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง (ไทยรัฐ)

เห็นภาพท่านในทีวี น้ำตาไหลโดยไม่ตั้งใจครับ ขอจงทรงพระเจริญเช่นกัน

รู้สึกกับข่าวที่ผมยกมาไหม ว่าเนื้อแท้แล้ว "คนไทย" เราทำ "คนไทย" กันเองทั้งนั้น
ถ้าเราเข้มแข็ง เราสามัคคีแล้ว ใครจะมาทำอะไรเราไม่ได้หรอก แต่ทุกว้ันนี้เราไม่เคยจำถึงประวัิติศาสตร์ที่เกิดขึ้นกับเลยหรือ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2112 เราเสียกรุงเพราะคนไทยแตกแยก ชักศึกเข้าบ้านโดยพระยาจักรี ผู้กอบกู้เอกราชคือ พระนเรศวร ส่วนครั้งที่ 2 ปี 2310 เพราะคนไทยแตกแยกอีกเช่นกัน ผู้กอบกู้เอกราชคือ พระเจ้าตากสิน

เราผิดพลาดในเรื่องเดิมๆ 2 ครั้ง 2 คราแล้ว ครั้งที่ี 3 นี้ เราคาดหวังว่าใครจะมาเป็นผู้กอบกู้เอกราชละครับ