เย็นวันหนึ่งของต้นฤดูฝน ณ ร้านกาแฟชื่อฝรั่งสัญชาติไทย กลางใจเมือง บาริสต้าวัยกลาง 30 มองไปรอบๆ ร้าน ปลายเดือนอย่างนี้ กลับมีลูกค้าเพียง 2-3 โต๊ะเท่านั้น โต๊ะอื่นๆ ก็เป็นไปตามปกติ เพียงโต๊ะคู่รักมุมร้านที่ดูเหมือนเวลารอบๆ ตัวทั้ง 2 จะหยุดมาชั่วขณะแล้ว
************************************************************
"กลับมากรุงเทพฯ คราวนี้ ไม่คิดจะเจอกันเลยเหรอ" หญิงสาวถามขึ้นมาเสียงตัดพ้อ
"เปล่า ก็ยังยุ่งๆ อยู่น่ะ เที่ยวนี้งานเยอะ" ชายหนุ่มตอบพลางหลบสายตา หยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้ง
"แม้แต่โทร ก็ไม่มี ดุล คิดว่าตอนนี้ระหว่างเรามันเป็นยังไง"
"ก็บอกแล้วไง ว่าผมยังยุ่งๆ อยู่ ตั้งแต่ย้ายงานมา ก็มีปัญหาตลอด ผมเองก็ต้องการเวลา "ส่วนตัว" ของผมบ้างสิ"
เงียบกันไปชั่วขณะ แววตาของหญิงสาวที่จ้องมองชายหนุ่ม เหมือนไม่คล้ายคนที่เคยรักกันมา ผู้ชายคนนี้นะเหรอ ที่เธอเคยคิดที่จะสร้างอนาคตไว้ด้วยกัน คนที่เคยคุยกันได้อย่างไม่รู้เบื่อทั้งวันทั้งคืน แต่ตอนนี้คนที่นั่งต่อหน้าเธอ เหมือนใครที่เธอไม่เคยรู้จักเขาเลย
เงียบกันไปชั่วขณะ แววตาของชายหนุ่มที่เหลือบมองหญิงสาว หญิงสาวที่เขาคิดว่ารู้จักดีที่สุด ผู้หญิงคนนี้นะเหรอ ที่เขาจะไว้ใจ เป็นคู่คิด เป็นที่ปรึกษาในยามที่เขาต้องมุ่งมั่นบากบั่นไปข้างหน้า หลายเดือนที่ผ่านมามันทำให้เขาไม่แน่ใจ ว่าที่เห็นมานั้น เป็นสิ่งที่เธอเป็น หรือ แค่การแสดงฉากนึง
"ดุลบอกแอนมาตรงๆ เลยได้ไหม ว่า ดุลจะเอายังไง" เธอพยายามที่จะเลี่ยงไม่พูดถึงคำๆ นั้น
เขาถอนหายใจ เหมือนจะพยายามไตร่ตรองทุกคำพูดอย่างดีที่สุด "อืม ผมคิดว่าเราน่าจะห่างกันสักพัก เพื่อต่างคนต่างจะได้ทบทวนอนาคตของเรากันอีกที"
เหมือนจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ปลิวมาโดนจุดระเบิดของอารมณ์ หญิงสาวถึงกับขึ้นเสียงสูง "ทบทวน ทบทวนอะไรอีกล่่ะ ดุล นี่เราคบกันมาจะ 5 ปีแล้วนะ แอนยังไม่รู้เลยว่า ดุลวางแผนในอนาคตไว้ยังไง เราจะแต่งงานกันเมื่อไร แล้วเรื่องบ้านล่ะ ดุลจะคบกันไปแบบนี้เรื่อยๆ เหรอ เห็นแก่ตัวมากเลยนะ"
เช่นเดียวกับหญิงสาว เมื่อความพยายามที่จะรอมชอมไม่เป็นผลสำเร็จ ความรู้สึกที่แท้จริงจึงได้พุ่งสวนออกมาเช่นกัน "เห็นแก่ตัวอะไรเล่า แล้วสิ่งที่คุณทำหลายๆ เดือนที่ผ่านมาเนี่ย คุณคิดว่าผมไม่รู้เรื่องเหรอ ที่ทุกวันนี้ผมต้องลำบากกว่าเมื่อก่อน ก็เพราะเรื่องงานของคุณ กับไอ้แก่หัวงูนั่นแหละ"
หญิงสาวถึงกับนิ่งอึ้งกับคำพูดของฝ่ายชาย อ๋อ นี่เองเหรอ สาเหตุที่เขาเปลี่ยนไป ทำไมเขาถึงคิดไปได้ขนาดนั้นนะ รู้มั้ย ชั้นยอมลำบากย้ายงานมาที่นี่ก็เพื่อจะเข้าใจเขา เก็บเงินสร้างอนาคตด้วยกัน แต่ก็คุยกันเคลียร์แล้วนี่ ว่าถึงบริษัทจะเป็นคู่แข่ง แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องระหว่างเรา ทำไมดุลไม่พยายามเข้าใจสิ่งที่เราทำเลยนะ
ชายหนุ่มได้แต่นิ่ง หลังจากที่ได้พูดออกไปแล้ว อืม ดันพูดไปจนได้ ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว ตอนแรกก็บอกว่าเรื่องงานจะไม่มีผล ไม่คุยกัน แล้วไอ้ยอดขายที่ถล่มทลายเนี่ย ไม่ใช่เพราะว่าข้อมูล หรือคำแนะนำจากเราเหรอ แถมไอ้แก่หัวหน้าเธอดันเป็นคู่แค้นเก่าเราอีก เข้าข้างกันชัดๆ แล้วที่ผ่านมาเราก็ทุ่มเทให้เธอตลอดเลยเนี่ยนะ
"ฮึ ก็แค่อิจฉาใช่ไหม แล้วนี่ดุลคิดอะไรไปถึงไหนแล้วนี่ ทุเรศมากเลยนะ"
"ไม่ใช่อิจฉาหรอก แค่ผิดหวังกับคนที่เคยไว้ใจที่สุดน่ะ ไม่คิดว่าผลประโยชน์แค่นี้ จะหักหลังกันได้ มิน่าเล่า แอนถึงพยายามจะวิ่งออกจากชีวิตผม เพราะเงินจากไอ้แก่หัวหน้าเธอนั่นเอง"
"คิดว่าแอนวิ่งหนีดุลเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ จำไว้นะ ชั้นไม่ได้วิ่งหนีจากชีวิตคุณ แต่ตัวคุณเองต่างหากที่วิ่งถอยหลังไปจากความรักของเรา ที่ผ่านมามีแต่ชั้่นที่ทุ่มเทให้คุณตลอด แต่คุณล่ะ"
น่าแปลกที่ สายตาของหญิงสาวที่มองฝ่ายตรงข้าม ไม่เหลือเค้าของความรักที่เคยดูดดื่ม เหมือนอีเมล์ หรือ SMS ที่เคยส่งถึงกัน เธอคิดว่า ถ้าที่เขาพูดมาคือเรื่องจริง ก็ไม่จำเป็นที่ต้องเกรงใจอะไรกันอีก แกทำงานห่วยเอง แถมยังมาโทษคนอื่น ที่ผ่านมาถ้าไม่ใช่เพราะไอเดียชั้น แกจะมาได้ถึงขั้นนี้เหรอ
น่าแปลกที่ สายตาของชายหนุ่มที่มองกลับไปที่หญิงสาวมีแต่ความว่างเปล่า ใช่แล้ว เธอไม่ปฏิเสธเรื่องที่ร่วมมือกับหัวหน้าเธอเพื่อแว้งกัดเรา แถมยังพูดยกตัวเองให้ดูดีมีหลักการอีกเช่นเคย
"งั้น คุณก็คิดง่ายๆ ละกัน เหตุผลที่คนเราวิ่งหนีฝ่ายตรงข้ามเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะว่า "ความเกลียด" หรือ "ความกลัว" ซึ่งเรื่องระหว่างเรานั้น ผมไม่จำเป็นต้องกลัวคุณอยู่แล้ว แต่คุณไปคิดเองละกัน ว่าที่ผ่านมาทำอะไรเลวๆ ลงไปบ้าง"
"ก็ได้ ชั้นจะจำไว้ ว่าสิ่งที่คุณทำมันเพราะ "ความเกลียด" บนความอิจฉา ใจแคบ ของคุณที่รับมันไม่ได้ แล้วชั้นก็ไม่เคยคิดนะ ว่าทำอะไรเลวๆ ลงไป มันก็แค่งานเท่านั้น"
************************************************************
สิ่งที่บาริสต้่า เจ้าของร้านเห็น คือภาพของผู้ชายที่นั่งหน้าเครียด ต่อหน้าหญิงสาวที่นั่งน้ำตาคลอ ทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีใครพูดอะไร หลายปีที่ผ่านมาชายหญิงคู่นี้เป็นลูกค้าประจำที่ร้าน ทั้ง 2 มักจะมานั่งคุยกันเรื่องงาน ให้คำแนะนำ กำลังใจซึ่งกันและกัน ทั้ง 2 เคยถามเขาเล่นๆ ว่า จะขอมาถ่ายรูปคู่แต่งงานในบรรยากาศคลาสสิคๆ ของร้านเขาได้หรือไม่
แต่ตอนนี้ บรรยากาศชวนหดหู่ยิ่งกว่าข้างนอกร้าน ที่ฝนเริ่มซาเม็ดแล้ว เขาเอื้อมมือไปเปิดดีวีดี เผื่อว่าบรรยากาศโดยรวมมันจะดีขึ้นบ้าง
ภาพบนจอเป็นการ์ตูนคลาสสิคเรื่ิอง ทอม แอนด์ เจอร์รี่ ที่เจ้าแมวทอม พยายามวิ่งไล่ เจ้าหนูเจอร์รี่ อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ไ้ด้แผนที่กรุสมบัติที่ซ่อนคลังอาหารอีกส่วนหนึ่งไว้ ซึ่งเป็นไปตามขนบของการ์ตูนแนวนี้ ที่ต่างก็วิ่งกันป่าราบไปข้าง
เด็กเสริฟกาแฟชาวพม่า ถือโอกาสลูกค้าไม่ค่อยมี มานั่งผสมโรงดูการ์ตูนด้วยนั้น หัวเราะเสียงดังกับภาพที่เห็น "ทำไมมันโง่ อย่างนี้น่ะ คนนึงวิ่งไล่ อีกคนวิ่งหนี ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แล้วเมื่อไรมันจะได้เจอสมบัติกันซะทีเนี่ย ถ้ามันฉลาดๆ หน่อยนะ มันหันหน้ามาคุยกันตรงๆ ร่วมมือกัน เอาแผนที่มารวมกัน แค่นี้มันก็สบายแล้ว"
"แม่นนะมึง" บาริสต้า หัวเราะหึๆ กับความคิดของเด็กเสริฟ ซึ่งอีกไม่กี่นาทีถัดไป ทอม กับ เจอร์รี่ ก็จะหันหน้ามาร่วมมือกันอย่างที่เขาว่าจริงๆ คงมีแต่ในการ์ตูนเท่านั้น ที่แมวจะรักและร่วมมือกับหนูได้
แต่เขาก็ยังหวังว่า ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่ได้ยินที่เด็กเสริฟพูด เขาอยากให้คนอื่นๆ ในร้านด้วยเช่นกัน