บนทางเดินของความสัมพันธ์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพศตรงข้าม หรือเพศข้างๆ หลายครั้งที่มีเรื่องราวที่เห็นต่าง ที่ไม่ลงรอยกัน แต่ลงเอยด้วยการทะเลาะกัน
กลับมาคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะต่างฝ่ายต่าง "ยืน" ในมุมของตัวเองแล้วมองออกมา เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ทั้งสองฝ่ายหลุดจากจุดเดิมของตนที่จากที่ต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อผลที่สร้างสรร กลับกลายเป็นโต้แย้งเพื่อเอาชนะกัน
หลายครั้งที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนเงียบและปล่อยให้เรื่องราวจบลงไปโดยไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน
หลายปีที่ผ่านมา มีหนังสือโด่งดังขายดี พูดถึงมนุษย์ดาวอังคารและดาวศุกร์ เทียบกับฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เพื่อให้เข้าใจฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น แต่เท่าที่เห็น คนเขียนรวย แต่คนซื้ออีกมากมายยังมีปัญหากับคู่ของตนเองเหมือนเดิม
ผมเริ่มประเด็นนี้ด้วยคำติติงกึ่งคำถามที่ว่า ผมเป็นชาวดาวอังคารอพยพมาจริงๆ หรือเปล่า เมื่อเทียบกับแนวคิดในการทำงาน การใช้ชีวิตที่ว่า "ทุกอย่าง ทุกการกระทำของมนุษย์ มีเหตุผลและแรงขับดันเสมอ" นั่นเป็นสิ่งที่คนรอบข้างรู้สึกได้ถึงทุกอย่างที่เป็นผลลัพธ์ออกไป
คนใกล้ชิดให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า มันไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะ ที่จะคิดได้อย่างนี้ บางทีก็เป็นเรื่องของความรู้สึกเท่านั้น
ผมเห็นด้วยกับเธอบางส่วน แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจหลักคิดของเธอเองก็ตาม
ผู้หญิง มักจะมีอะไรให้เราแปลกใจเสมอ อย่างเช่น เมื่อเริ่มต้นในความสัมพันธ์ เมื่อผมถามว่า อยากให้ผมทำอะไรสักอย่างให้เธอไหม?? เธอตอบทันทีว่าไม่ เพราะเธอเกรงใจ
ด้วยความเคารพ ผมหยุดอย่างที่เธอต้องการ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอว่า ผมใจไม้ไส้ระกำ ไม่เข้าใจ และไม่เห็นใจเธอเลย
คำติติงบอกผมว่า บางเรื่องผมต้องปล่อยให้มุมของอารมณ์เป็นตัวชี้ทางเราบ้าง ผมแย้งเธอว่า อารมณ์บนสัณชาตญาณ และความเสี่ยงดอกหรือ
หยุดแค่นี้ก่อน เพราะผมว่ามันคงยังไม่มีข้อสรุปในเร็ววัน และผมคงไม่ใช่คนแรกที่เปิดประเด็นนี้ มองให้กว้างกว่าความสัมพันธ์ของคน ในเรื่องงานละ ใช่เนื้อหาเดียวกันหรือไม่
ครั้งหนึ่งในชั้นเรียนวิชาการตลาด กลุ่มของเราตั้งใจจะทำแผนธุรกิจเกี่ยวกับรถแท็กซี่ ที่มีระบบนำทางและบริการอัตโนมัติ ผมเค้นหัวอยู่หลายวันจนได้ชื่อว่า MITR (Metropolitan Intelligent Taxi Reservation) ชื่อภาษาไทยฟังดูก็อบอุ่นดีนะเนี่ย "มิตร"
เมื่อนำเสนอให้กับกลุ่ม ทุกคนส่ายหัวอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย สุดท้ายจบด้วยชื่อเรียบง่ายของพี่ที่เป็นสถาปนิก Red Cab (Cab ศัพท์แสลงอเมริกันที่เรียกแท็กซี่) อืม ผมเข้าท่ากว่าไอ้ชื่อเมื่อกี้ตั้งเยอะ
อันนี้เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้คิดว่า บางอาชีพ อารมณ์ก็สำคัญมาก ทั้งศิลปิน ครีเอทีฟ นักแสดง แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องของเหตุผลจะไม่สำคัญ ยิ่งถ้าคุณเป็นวิศวกร นักบัญชี นักการเงิน หรือผู้บริหาร เรื่องหลักการเหตุผลเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ
ความยากอยู่ที่ว่า เราจะจัดการกับเรื่องทั้งสองอย่างนี้ ในคนๆ เดียวได้อย่างไร ซึ่งย้อนไปถึงพัฒนาการของสมองทั้งสองด้านตั้งแต่เด็กด้วย งานอดิเรก หรือ การเล่นเกมส์ ก็คงจะช่วยได้บ้าง
อยู่ที่เราแล้วละครับ ว่าจะเลือกให้เกิดสมดุลของทั้งสองฝั่ง หรือจะเน้นให้เชี่ยวชาญอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย ทั้งสองทางเลือกก็มีต้นทุนและสิ่งที่ต้องจ่ายออกไปเช่นกัน
แต่ถ้าถามผม เลี้ยงไว้ทั้งสองอย่างดีกว่าครับ เพราะชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่อะไรเพียงอย่างเดียว เปิดทางให้กับชีวิตหลายๆ ทางจะดีกว่าครับ