April 12, 2010

มองมุมเหม่ง > วัน 1 ของผม (Another Working Day)

ผู้คนล้วนหลายหลาย
ต่างก่อปัญหามามากมาย
คลายได้ด้วยปัญญา
***********************************
(เรื่องแต่งจากเหตุการณ์จริง)

วัน 1 ของสัปดาห์ที่แล้ว ที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีเรื่องราวหลายอย่าง เหมือนจะไม่เกี่ยวข้อง แต่มองลึกๆ ลงไป มันมีสายสัมพันธ์ของเหตุการณ์เหล่านั้นโยงกันอยู่ โดยมีผมเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวเหล่านั้น อืม ฟังดูเหมือนพล็อตจากฮอลลีวูดเลยนะ

***********************************
เริ่มจากตอนเช้า ได้คุยกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง หลังจากที่พักหลังๆ จะห่างๆ กันไป แม้ว่าเนื้องานจะไม่เกี่ยวข้องกันทางตรง แต่ทางอ้อมผมเองต้องพึ่งพาเธออยู่หลายส่วน หลังจากเรื่องงานจบ เธอถามถึงอนาคตผมในที่ทำงาน น่าเสียดายที่คำตอบผมอาจจะทำให้เธอประหลาดใจ
"... คุณไม่ได้สนใจกับตำแหน่งที่เจ้านายคาดหวังไว้กับคุณแล้วหรือ..."

" เปล่า ผมเพียงแต่หยุดคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเท่านั้น ไม่อยากละเมอเพ้อฝัน อาจจะจริงที่ตำแหน่งใหม่นี้ มีอำนาจความรับผิดชอบมากขึ้น ไม่ต้องพูดถึงผลตอบแทนที่ดีกว่าที่ผมอยู่ปัจจุบัน แต่ได้อย่าง มันก็เสียอย่าง ตามที่พี่ป้อมว่าไว้ ผมต้องมองให้ออกว่า สิ่งที่ผมจะต้องเสียไปคืออะไร และผมจะทำงานในตำแหน่งใหม่ให้ราบรื่นอย่างไรบ้าง"

"พูดเหมือนคุณกำลังลังเล"

"อาจจะจริง เพราะทุกวันนี้ผมเองก็พอใจในจุดที่ผมมีและผมเป็นอยู่ ได้ดูแลคนจำนวนเท่านี้ มีโอกาสไปพบลูกค้า ปิดการขาย แต่ผมยังมองไม่ออกถึงความน่าสนใจในตำแหน่งใหม่ตรงนั้น และถ้าผมจะทำ คุณก็รู้ ว่าผมต้องทำเต็มที่ แล้วปัจจัยอื่นๆ ละ ครอบครัว หรือ ชีวิตด้านอื่นๆ ที่ผมมี จะให้ผมละทิ้งพวกเขา เพื่อทุ่มเทให้กับบริษัทอย่างเดียวเหรอ"

"ก็ถูก แต่วันนี้ใครๆ ก็มองว่าคุณเหมาะสม เพียงแค่คุณปรับตัวเองอีกหน่อยเท่านั้น ชั้นอยากให้คุณลองสวมหมวกของแผนกอื่นๆ ดูบ้าง มีน้ำโหให้น้อยลง และมองว่าทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้น"

"อืม ผมเคยคิดเรื่องนี้เหมือนที่คุณเคยพูดมาครั้งนึงแล้ว ผมเข้าใจนะว่าแต่ละแผนกต้องพบกับปัญหาและข้อจำกัดอะไรบ้าง รวมไปถึงสิ่งที่พวกเขาต้องทำให้ได้ด้วย แต่ที่ผมข้องใจคือ ในตำแหน่งต่างๆ เหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวหน้าแผนก เขาไม่รู้เลยเหรอ ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง"

"ทำไมจะไม่รู้ ก็ใน Job description ก็บอกไว้"

"ใช่ แต่นอกเหนือจากงานที่ต้องรับผิดชอบแล้ว คนอื่นๆ เขาคาดหวังถึงการตัดสินใจ ในการแก้ปัญหา ถ้าไม่คิดที่จะแก้ปัญหาที่มีเหตุมาจากงานของตัวเอง มัวแต่โยนไปโน่นไปนี่ งานของคนอื่นๆ เขาก็เดินกันต่อไม่ได้ อย่างนี้เราจะไม่ให้ผมโมโหได้ยังไง"

"หรือมัวแต่อ้างว่า งานยุ่ง ได้มอบหมายงานไปแล้ว ให้ไปตามที่โน่นที่นี่แทน ถามหน่อยว่า เขารู้ไหมว่าคนที่มอบหมายงานให้ไป มีศักยภาพพอหรือเปล่า กลายเป็นว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปอีก"

"ผมถึงบอกไง ว่าขอผมคิดดูก่อน เพราะสิ่งที่ต้องแก้ไขมันมากเหลือเกิน ขณะที่บริษัทต้องเดินหน้าต่อไป ผมใช้เวลาในการพูดคุยกับตัวเอง ทำใจตัวเองให้นิ่ง เลิกอารมณ์ร้อน เพราะไม่งั้น นอกจากผมจะเละเองแล้ว คนที่อยู่ข้างหลังอีกหลายชีวิตเขาก็จะเดือดร้อนไปด้วย และถ้าผมไม่นิ่ง ผมจะไปทำให้บริษัทนิ่งได้อย่างไร มันก็คงปั่นป่วนกันไม่จบซะที"

"โอเคค่ะ ฟังแล้วค่อยสบายใจหน่อย ถ้ามีอะไรจะให้ช่วยก็บอกนะคะ" เธอจบการสนทนาด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิม

***********************************
เย็นวันนั้น เสียงโทรศัพท์จากทีมงานคนหนึ่งดังขึ้น
"พี่ คุยได้เปล่า" ตรงๆ ไม่อ้อมค้อมคือลักษณะเด่นของน้องคนนี้

"ได้เลย ว่ามาท่าน" โทรมาเย็นๆ อย่างนี้ คงเป็นเรื่องบันเทิงเริงรมย์ตามปกติ แต่แปลกที่เสียงดูเครียดๆ

"เมื่อกี้เพิ่งโทรคุยกับทีม Support นะ ผมตามงานของผม แต่เห็นว่าวันนี้ออกไปประชุมเรื่องงาน xxx ของพี่ YY น่ะ งานผมเลยไม่ได้ทำ แถมเขาบอกว่า พี่ YY เองก็ไม่ได้ไปหาลูกค้ารายนี้ด้วย พี่รู้เรื่องหรือเปล่า"

"อืม แล้วเราได้ยินมาว่าไงล่ะ"

"ก็ตา YY ไม่ไปด้วย แต่ส่งให้ฝ่าย Support ไปแทน พอลูกค้าถามคำถาม ก็ตอบไม่ได้ อย่างนี้ผมว่าไม่โอเคว่ะพี่ เห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า"

"นี่เราโมโหเหรอ" ผมถามไป ถ้ามองเห็นหน้ากัน คงเห็นรอยยิ้มบางๆ ด้านล่างของใบหน้า

"เออดิ เป็นพี่ไม่โมโหเหรอ เราเป็นฝ่ายขายแท้ๆ ทำไมไม่สนใจลูกค้าเลย แถมให้ฝ่าย support ไปรับหน้าแทนอีก"

"เออ ใจเย็นๆ ก่อน เรื่องนี้พี่รู้ทั้งหมดแหละ อย่างแรกนะ ประชุมคราวนี้ลูกค้าให้ไปอธิบายเรื่องเทคนิคที่เรานำเสนอ เรื่องราคายังไม่พูดถึง สอง วันนี้พี่ YY เขาต้องทำ proposal เสนอราคาให้ลูกค้ารายใหญ่อีกราย ซึ่งกำหนดส่งเป็นเมื่อวานนี้ แต่ทางทีม support ทำไม่ทัน สาม พี่ได้ย้ำและให้โทรไปคุยกับลูกค้าแล้วว่า มีประเด็นอะไรสำคัญที่ฝ่ายขายต้องเข้าไปด้วยไหม รวมถึงย้ำไปด้วยว่า ให้ทาง support ตอบเฉพาะคำถามด้านเทคนิค แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ เขาก็ต้องรับผิดชอบไป"

"ท่าทางจะเย็นแล้วนะ ขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม"

"ครับ พี่"

"อย่างแรกเลย พี่ไม่ว่าที่เราจะโมโหกับเรื่องแบบนี้ แต่ก่อนที่จะโมโหนั้น อยากได้เก็บรายละเอียด หรือ รู้เรื่องราวทั้งหมดก่อน ไม่งั้นแล้วจะเสียหายและเสียฟอร์มได้"

"ต่อมา เรื่องนี้ว่าไปแล้ว ไม่เกี่ยวกับเราเลย เราไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดอย่างนั้น แค่บอกพี่เฉยๆ หรือ ถ้าสงสัยในรูปแบบการบริหารงานของพี่ก็ถามมาได้"

"สุดท้าย พี่คงต้องคุยกับทาง support ด้วยว่า ถึงเขาหงุดหงิด หรือไม่พอใจยังไง ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะส่งให้คนอื่นๆ อีก มันก็เลวร้ายพอๆ กับควันบุหรี่มือสองนั่นแหละ แถมความหงุดหงิดเหล่านี้ ก็ทำให้ทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายเราย่ำแย่ไปด้วย"

"พี่เข้าใจนะ เราไม่ค่อยพอใจวิธีการทำงานแบบ YY นี้ แต่วิธีที่จะประสบความสำเร็จ มันก็มีหลายล้านวิธี ขึ้นกับทางใครก็ทางมัน ในภาพของบริษัท พี่ไม่เกี่ยงว่าแมวดำหรือแมวขาว แต่อย่างหนึ่งที่บอกได้ก็คือ บางคนอาจจะประสบความสำเร็จโดยมีเพื่อนฝูงห้อมล้อมยินดี แต่บางคน อาจจะชนแก้วอย่างเหงาๆ คนเดียวก็ได้"

"ครับ ถ้าพี่อธิบายอย่างนี้ ผมก็ไม่ติดใจอะไรแล้ว"

***********************************
2 เหตุการณ์นี้ ย้อนเตือนอะไรผมหลายๆ อย่าง เกี่ยวกับการบริหารจัดการทีมงาน การวางแผนรับมือตำแหน่งในอนาคต รวมทั้งการบริหารภาพลักษณ์ของเราในสายตาคนรอบข้าง ผมไม่ได้หมายถึงการเสแสร้งแกล้งทำ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความพึงพอใจที่จำเป็นต่องานของเราครับ

เรื่องราวในแต่ละวันผมคงยังไม่จบแค่นี้ ชีวิตก็คงดำเนินกันต่อไป แต่ขอให้มีสติ ปัญญานำทางละกันครับ