October 7, 2009

เรียนจากหนัง > The Mist วิกฤตของชีวิต (The Mist : Crisis Management)


ขอว่าถึงเรื่องหนังอีกสักครั้งนะครับ ก่อนจะกลับไปหาพี่พาลี ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ทางเคเบิลทีวีตอนไปเชียงใหม่คราวที่แล้ว เห็นว่าเนื้อหนังมีประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันครับ

The Mist เป็นผลงานเรื่องดังอีกเรื่องของเจ้าพ่อนิยายสยองขวัญ สตีเฟน คิง ฉายมาตั้งแต่ปี 2007 ในเมืองไทยมีเสียงตอบรับดีพอสมควรสำหรับคอหนัง แต่ถ้าดูจากตัวอย่างแล้ว คงคิดว่าเป็นหนังสยองขวัญสัตว์ประหลาดดาดๆ ไป ทำให้ผมเองก็พลาดไปเช่นกัน

เนื้อเรื่องย่อๆ คือ ในเช้าวันหนึ่งหลังจากพายุใหญ่ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในอเมริกาก็ได้ต้อนรับกลุ่มหมอกแปลกๆ พร้อมกับกองกำลังทหารที่เข้ามา หนังโฟกัสไปที่กลุ่มชาวบ้านที่เข้ามาซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ต ซึ่งรวมทั้งตัวเอกที่มาพร้อมกับลูกชายและเพื่อนบ้านที่เคยบาดหมางกัน ก็จะเข้ามาซื้อของเพื่อไปซ่อมแซมบ้านด้วย

หนังไม่ปล่อยให้เราเห็นภาพน่าเบื่อที่เราคุ้นเคยตอนไปชอปปิงหรอกครับ ระดับนี้แล้ว หนังเริ่มแสดงให้เห็นว่า "หมอก" ที่เพิ่มมากขึ้นนั้น เริ่มคุกคามอย่างไร มีตัวประหลาดในหมอกลากคนไปกิน ทำให้ทุกคนในซุปเปอร์มาเก็ตนั้นต้องรวมตัวกันเพื่อป้องกัน และดูแลตัวเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย

จุดที่น่าสนใจ นอกเหนือไปจากการลุ้นว่าสัตว์ประหลาดคืออะไร จะโจมตีอย่างไร และการเดาว่าตัวประกอบเสร่อๆ คนไหนจะตายก่อนนั้น คือ การที่คนหลากหลายแบบต้องถูกบังคับให้มาอยู่ด้วยกันในภาวะวิกฤต คนที่เราเจอเผินๆ ในห้าง ในลานจอดรถ เพื่อนบ้าน ฯลฯ ที่เราเคยยิ้ม เคยจอดรถให้ข้ามถนน ต่างๆ นานา นั้น พอได้มาใกล้ชิดกันเพราะความจำเป็นแล้วจะเป็นอย่างไร

สิ่งแรกที่ดึงผมไปจากความประหลาดของ "หมอก" หรือความเป็นไปไม่ได้บางอย่างของเนื้อเรื่องคือ "การบริหารจัดการในภาวะวิกฤต" ครับ

ในชีวิตจริง ผมหวังว่า เราคงไม่เจอภาวะวิกฤตรุนแรงอย่างในหนังนะครับ แต่ว่าเราเคยคิดกันไหมว่าจะเตรียมตัวอย่างไร
อย่างแรก เมื่อเจอเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ใครจะเป็นผู้นำ ซึ่งเนื้อหาในหนังนั้น ชาวบ้านพยายามจะให้ทนายที่เป็นเพื่อนบ้านผิวดำของพระเอกนั้นเป็นผู้นำ เพราะดูจากหน้าที่การงานน่าเชื่อถือต่างกับพระเอกที่เป็นเพียงศิลปินวาดภาพประกอบหนัง

แต่ปมในใจของทนายผิวดำ และวุฒิภาวะบกพร่องในการเป็นผู้นำ ทำให้เขาดื้้อรั้นไม่เชื่อฟังคำแนะนำของพวกพระเอก แม้ว่าจะมีหลักฐานอยู่ทนโท่ก็ตาม ส่งผลให้เขาต้ัองกลับบ้านเป็นคนแรกๆ ของเรื่องนี้ รวมไปถึงคนผิวดำอีกหลายๆ คนที่เลือกที่จะอยู่ข้างเขาด้วย

ชาวบ้านเริ่มจะมีทีท่าเชื่อถือเรื่องสัตว์ประหลาด และผลักดันให้พระเอกเราเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ เขาต้องการแค่ซื้อของเสร็จแล้วให้ลูกได้กลับบ้านไปเจอเมีย การต่อสู้กับสัตว์ประหลาด หรืออื่นๆ ใดๆ เพื่อตอบโจทย์ข้างต้นเท่านั้น ทำให้ตัวละคร "หญิงบ้า" อีกคนมีบทบาทขึ้นมา

"หญิงบ้า" (ตามที่ชาวเว็บทั้งหลายเรียกไว้) นี้ ต้นเรื่องชาวบ้านไม่มีใครอยากยุ่งด้วย เพราะคิดว่าเป็นพวกบ้าศาสนา สวดมนต์ไปวันๆ แต่เธอมีความเชื่อ มีจุดยืนที่ชัดเจนครับ ในหนังแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไร ไม่ว่าใครจะเป็นไง เธอเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง และทุกสิ่งเกิดจากพระเจ้ากำหนด

เรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่เป็นไปได้คือ ในภาวะที่มีความเครียด และกดดันสูงๆ นั้น ชาวบ้านบางส่วนเริ่มเชื่อในสิ่งที่เธอพูด และมันมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ หลายๆ คนเริ่มไม่ใ้ช้เหตุผลในการพิจารณาปัญหา เลือกที่จะใช้ความรุนแรงเป็นทางแก้ไข เพราะอาจจะเป็นเรื่องที่หนักและลำบากเกินไปสำหรับชาวบ้านในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงหันไปเลือกทางออกที่ง่ายๆ และสำเร็จรูป ทำให้หญิงบ้านี้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มในที่สุด

อย่างที่โบราณกล่าวไว้ สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ในภาวะวิกฤตนั้น ผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ที่สำคัญถัดมาคือ การค้นหาความจริงวิเคราะห์ปัญหาด้วยสติก็จำเป็น บางทีเราต้องถอยตัวเองออกมาก้าวหนึ่ง เพื่อให้เห็นภาพรวมของวิกฤตทั้งหมด ซึ่งอาจจะต้องมองออกจากกรอบปกติของความคุ้นชินไปบ้าง เพื่อหาแนวทางใหม่ๆ เช่นกัน

และการบริหารจัดการผู้ตาม (ที่ตามเพราะความจำใจ) จึงจำเป็นที่เราต้องฝึกฝนตัวเองให้พร้อมกับบทบาทผู้นำ หรือผู้ตามเพราะในหนังก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะของผู้ตามที่ดี ทำงานเป็นทีม ใช้เหตุผลมาถกเถียงกัน ทำให้ฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ ได้ เทียบกับผู้ตามที่ห่วยๆ เอาแต่ร้องแรกแหกกระเชอ รอความช่วยเหลืออย่างเดียว หรือในสถานการณ์เช่นนี้ คนเราก็จะแสดงถึงความเห็นแก่ตัวออกมาอย่างมากที่สุด เพื่อให้ตัวเองรอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายในการบริหารจัดการเช่นกัน

กลับมาที่เนื้อเรื่องอีกครั้ง หนังไม่ปล่อยให้เป็นไปตามแบบแผนขนบธรรมเนียมของหนังครับ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะเฉลยว่า สัตว์ประหลาดที่ปรากฏนั้น มาจากความผิดพลาดในการทดลองทางทหาร ทำให้ประตูมิติเปิดออกและสัตว์ประหลาดหลุดออกมา (อืม ค่อยเว่ิิอร์สมกับ สตีเฟน คิงหน่อย) หนังแสดงให้เห็นว่า บางทีผู้นำก็ตัดสินใจผิดพลาดได้เช่นกัน ความใจร้อน หุนหันพลันแล่นอาจจะทำให้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตก็ได้ และไม่เพียงแค่นั้น มันมีชีวิตของผู้ตามคนอื่นๆ ที่เขาแบกไว้ด้วย การรอคอยก็อาจจะเป็นกลยุทธ์ทีดีอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน

ครับ ในภาวะวิกฤตนั้นมันไม่ง่ายเลย แต่ก็คุ้มค่าที่จะทำ

October 5, 2009

เรียนจากหนัง > The Unit ทหารนั้นก็คน (The Unit: Soldier is human)


เมื่อวานนี้เพิ่งจะได้ฤกษ์ที่จะเอาหนังชุดเรื่องนี้ลงมาจากหิ้ง ความคิดแรกที่ดูจากชื่อเรื่อง และคำโฆษณาคร่าวๆ คิดว่าเรื่องนี้น่าจะมาแนว คอมมานโดของพี่บึ๊ก อาร์โนลด์ผู้ว่าแคลิฟอร์เนีย หรือจะพี่ซิลเวสเตอร์ แรมโบ้ ที่ทหารคนเดียวถือปืนบุกเดี่ยว โดยไม่ได้แบกปูนไปโบกตึกแต่ไปฆ่าคนทั้งกองทัพ

พอได้ดูก็รู้ว่า ตูนี้พลาดไปอีกแล้วหนอ หนังดีๆ อย่างนี้ปล่อยให้ฝุ่นจับได้ไง
มุมมองนี้อยู่ที่อายุ และประสบการณ์ด้วยนะครับ เรื่องนี้ถ้าถามเด็กๆ มันอาจจะน่าเบื่อเมื่อเทียบกับสองเรื่องข้างต้น

The Unit เนื้อหาดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่อง “Inside Delta Force” เป็นเรื่องเกี่ยวกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ของกระทรวงกลาโหม ทุกคนในทีมไม่มีตัวตน ใช้นามแฝงทั้งในการทำงานและชีวิตจริง แบ่งเป็นทีมๆ อัลฟา เบต้า โดยจะทำภารกิจที่หน่วยงานอื่นๆ เช่น FBI, CIA ไม่สามารถออกหน้าได้ (แต่สามารถเอาหน้าได้ ถ้างานนั้นสำเร็จ)
ความน่าสนใจอย่างแรกคงเป็นฉากบู๊ที่ตัวละครต้องใช้สมองในการแก้ปัญหาเพื่อบรรลุภารกิจได้ ในเวลา และเงื่อนไขที่กำหนด เราได้รู้ว่า บางทีการใช้กำลังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเสมอไป คุณสามารถชนะโดยที่สูญเสียน้อยที่สุด เพียงแค่มองปัญหาให้รอบด้าน เชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน เลือกหนทางที่ใคร่ครวญแล้วว่าดีที่สุด
อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่มีฮีโร่คนไหนไม่ผ่านความยากลำบากในการเรียนรู้และฝึกฝน ทั้งการฝึกส่วนตัวและการฝึกเป็นทีม หนังแสดงให้เห็นว่า เมื่อพบความผิดพลาด ทั้งทีมต้องช่วนกันวิเคราะห์และแก้ปัญหาต่างๆ เพราะในสถานการณ์จริง คุณอาจจะไม่มีโอกาสครั้งที่สองอีกแล้ว
นอกเหนือจากนั้น หนังได้แทรกชีวิตด้านอื่นๆ ของทหารเหล่านี้ ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจกว่าเนื้อหาบู๊ๆ ด้วยซ้ำ
เคยถามตัวเองหลังดูแรมโบ้ คอมมานโด ไหมครับ ว่าชีวิตประจำวันเขาทำอะไรกันบ้าง ใจคอจะรบจะสู้กันทุกวันเลยเหรอ
หนังเรื่องนี้มีชีวิตเบื้องหลังให้ดูเต็มที่เลยครับ ให้เราเห็นว่า ทหารนั้นก็คนเหมือนกัน มีลูก มีเมีย มีรัก โลภ โกรธ หลง ฝัน หวาน อาย จูบ แถมลูบคลำในบางจังหวะ
ได้เห็นว่า ความสำคัญของ “หลังบ้าน” นั้นมากแค่ไหน เช่น การรวมกลุ่มแม่บ้านเพื่อดูแลคนที่มาใหม่ การช่วยเหลือต่างๆ แม้กระทั่งการรวมตัวทำมาหากิน เพื่อให้มีเงินทองพอเีพียงในการดำรงชีวิต
ดูแล้วไม่รู้ว่าเลียนแบบสมาคมแม่บ้านของเราหรือเปล่า
ซึ่งหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ของคุณพ่อบ้านเท่านั้น ผมว่าคุณแม่บ้านก็น่าจะได้เรียนรู้อะไรจากหนังเรื่องนี้เช่นกัน

ดูเสร็จแล้วมองกลับมาบ้านเรา อย่างแรก เมื่อไรจะมีหนังชุดดีๆ อย่างนี้จากฝีมือคนไทยบ้าง และทหารไทยจะเก่งเหมือนเขาได้ไหม
ก็เป็นคำถามที่ล่องลอยในสายลมต่อไป