February 18, 2011

มองมุมเหม่ง > ก่อนบวช - สิ่งที่คิด สิ่งที่เห็น

"บวช" หรือคือฝึกตน
เฝ้าหมั่นฝนจนใจใฝ่ธรรม
ปรับใช้ได้หรือไม่
*********************************

"พี่เหม่งจะบวช ???" คนที่ได้ยินเกินครึ่งที่ตกใจ ครึ่งของที่เหลือหัวเราะขำๆ ครึ่งหลังจากครึ่งของที่เหลือทำหน้างงงง เหมือนท่านผู้อ่านในตอนนี้ที่เวีียนหัวกับสำนวนการเขียนของผม

ครับ ไม่ต้องแปลกใจไป แก่ (เลยวัยที่จะเรียกว่าโตไปแล้ว) จนปูนนี้ เพิ่งมาคิดเรื่อง "บวช" ในวาระมงคลวันมาฆบูชาที่มาถึง บทความชุดนี้ (มีหลายตอน) ก็ขอว่ากันถึงเรื่องศาสนาในมุมมองของเหม่งนะครับ

สารภาพตามตรง สมัยเด็กๆ ผมไม่ค่อยศรัทธากับแก้วดวงที่ ๓ ในพระรัตนตรัยเท่าไร (พระสงฆ์ - นั่นแหละ ไม่รู้จะเขียนให้งงอีกทำไม) อาจจะเป็นเพราะโลกที่มองยังไม่กว้าง แถมยังไปเจอตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมเสียอีก แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์หลายๆ อย่างทำให้เริ่มกลับมาศึกษาเรื่องศาสนาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสอนของพระพุทธเจ้าในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิต การปรับไปใช้ในการบริหารธุรกิจ และตั้งใจไว้ว่าปีนี้ (๒๕๕๔) ต้องบวชให้ได้ เพราะประเมินแล้ว ปีนี้ชีวิตทางโลกก็ลงตัวกว่าปีที่ผ่า่นๆ มา ความพร้อมและสิ่งที่ไม่คาดฝัน ถ้ามีก็น่าจะรับมือไหว และกอปรกับสถิติชีิวิต (ดวง) ที่ผ่านมา ปีนี้ก็น่าจะเป็นรอบของการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ซึ่งก็ขอให้มันเป็นเรื่องดีๆ จะดีกว่า

โชคดีที่พอเริ่มสนใจ ก็ได้คนรอบข้างเป็นกำลังใจและให้คำแนะนำ แต่ก็โชคร้ายที่ว่า เมื่อเราศึกษาหาความรู้มากๆ ขึ้น ผมกลับพบว่า ผมยิ่งสับสนและมีคำถามมากเท่าหลายทวี เริ่มจากคำถามง่ายๆ เช่น

- พระต้องมุ่งเน้นการปลีกวิเวก เพื่อทำวิปัสสนากรรมฐาน หรือว่า ต้องอยู่ร่วมกับชุมชนเพื่อพัฒนาสังคมส่วนรวม
- การบวชแค่ครั้งเดียวในชีวิต เพียงพอแล้วหรือ ทำไมศาสนาอิสลามถึงต้องถือศีลอดทุกปี ศาสนาคริสต์ต้องเข้าโบสถ์ทุำกอาทิตย์
- เราศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า จำเป็นต้องท่องจำคำบาลี สันสกฤต ทุกคำทุกสำนวนหรือไม่ แล้วคำเหล่านั้น มันแปลว่าอะไรกันบ้าง
- โลกเราเปลี่ยนไปทุกวัน คำสอน หรือวัตรปฏิบัติ และข้อห้ามต่างๆ ต้องปรับไปด้วยหรือไม่
- พิธีกรรมต่างๆ จำเป็นหรือไม่ แค่ไหนถึงเรียกว่าเหมาะสม
ฯลฯ ไปยาลใหญ่ ไปกันใหญ่....

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมออกเดินทางไปยังวัดต่างๆ เพื่อค้นหาแนวทางที่เหมาะสมกับตนเอง หาคำตอบที่ตัวเองต้องการ ว่าตูจะบวชไปเพื่ออะไร ความมั่นใจที่เคยคิดว่ารู้มาก เพราะอ่านมากนั้น ก็เริ่มสั่นคลอน เพราะนอกจากเราไม่รู้ว่ามันใช่หรือไม่แล้ว หลักคิดบางอย่างในชีวิตทางโลกก็เอามาเป็นกรอบไม่ได้เช่นกัน

ผ่านไปหลายวัด ความชัดเจนเริ่มปรากฏ ผมไม่นิยมวัดที่เน้นวัตถุจนเกินไป วัดที่เน้นขายของ เอิกเิกริกกันครื้นเครง หรือวัดที่เคร่งเครียดเน้นกฏกติกามารยาทจนอึดอัด

สิ่งที่ผมมองหาคือ ผมต้องการที่จะฝึกฝนขัดเกลาตนเอง ด้วยวิถีของพุทธ ศึกษาหลักธรรมที่มุ่งเน้นการปรับประยุกต์ใช้ ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยระยะเวลาที่จำกัด ผมคงไม่สามารถที่จะอุทิศตนเป็นพระนักพัฒนาเพื่อชุมชน หรือสังคมได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าแค่พัฒนาตนเอง เวลาแค่ ๑ เดือนที่มี ก็น่าจะพอไหว ซึ่งหลังจากนั้น เมื่อเราพัฒนาตนเองได้ดีในระดับหนึ่ง มันก็น่าจะเผื่อแผ่ไปยังคนรอบๆ ได้

ยังมีอีกหลายอย่างที่ตอนนี้ ผมต้องเปิดหู เปิดใจ รับฟัง ค่อยๆ คิด พึงพินิจกันต่อไป เพราะเราเองก็ยังเป็น "คนนอก - คนดิบ" ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก ที่เหมาะสม เหมือนอย่างที่น้องชายผม ผู้ได้ผ่านการบวชเรียนแล้ว ได้แนะนำผมในฐานะว่าที่รุ่นน้องว่า "ฟังทุกสิ่ง ดูทุกอย่าง อย่าเพิ่งโต้แย้ง เก็บข้อมูลให้มาก แล้วเมื่อเราได้ปฏิบัติแล้ว ถึงตอนนั้น เราอาจจะเข้าใจได้เอง"

นี่เป็นแค่อารัมบทเกริ่นนำเท่านั้น สิ่งที่จะผ่านเข้ามาและดำเนินต่อไป คงจะได้นำมาเล่าสู่กันฟัง มองกันหลายๆ ด้านอีกครั้ง

กำหนดการโดยประมาณ: อุปสมบท ต้นเดือน เมษายน ๒๕๕๔ วัดอุทยาน นนทบุรี

(ขอบคุณรูปภาพสวยๆ จาก http://www.oknation.net/blog/konhinsmile ครับ)

February 17, 2011

เรียนจากหนัง > The Goods: Live Hard, Sell Hard (กลยุทธ์ผู้ชาย พันธุ์ขายแหลก - 2009)


ถ้าวันนั้นไม่ได้มีธุระไปที่โรงพยาบาล และไม่ได้แก้เซ็งด้วยการกดรีโมตไล่ช่องทีวีไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นนิสัยย้ำคิดย้ำทำอย่างหนึ่งแล้ว ผมคงไม่ได้เจอะเจอกับหนังเรื่องนี้แน่นอน

ไม่ต้องพูดถึงความนิยม หรือดาราในหนังเรื่องนี้ คะแนนเพียง 5.8 จาก imdb.com และคำโปรยเชื้อเชิญด้านบนโปสเตอร์ที่อ่านแล้วถึงกับขำ ตัวผมเองก็คงจะมองข้ามไปเช่นกัน แต่ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับ การกอบกู้สถานการณ์ด้วยทักษะการบริหารทีมขาย และไอเดียทางด้านการตลาด ทำให้กิจกรรมกดรีโมตต้องหยุดไป 89 นาที (ความยาวหนัง)

เนื้อเรื่องแบบสั้นๆ กล่าวถึง ความตกต่ำของเต๊นท์ขายรถมือสองแห่งหนึ่ง ทำให้เจ้าของ Ben Selleck ตกลงว่าจ้าง Don "The Good" Ready และทีมงานเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายระหว่างช่วงเทศกาลวันชาติ โดยมีเวลาจำกัดเพียง 3 วัน (ศุกร์-อาทิตย์) และรถยนต์ที่มากกว่า 200 คันที่จอดรอพิสูจน์ฝีมือ

ในระหว่างการเดินเรื่อง พล็อตรองเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน การไว้เนื้อเชื่อใจกัน เรื่องราวในอดีตของตัวละครหลักๆ และความรักที่น่าจะต้องห้าม ก็ถูกเสริมเข้ามาตามขนบ ซึ่งคอหนังแนวๆ นี้ก็คงคาดเดาได้ไม่ยาก แต่ถ้าจะให้เน้นๆ ว่าหนังเรื่องนี้มีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้างก็คงแยกได้ดังนี้

เกี่ยวกับการขาย การตลาด - เราจะเห็นได้ว่า การวางแผนเพื่อพิชิตยอดขายนั้น ต้องมีเหลี่ยมการขาย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาสูง แล้วลดแบบเหลือเชื่อเพื่อให้ลูกค้าได้ตัดสินใจ, หรือการโน้มน้าว เล่าเรื่อง เชื้อเชิญ เพื่อเน้นถึงความจำเป็นที่ขาดไม่ได้, หรือเทคนิคด้านการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งหน้าร้าน การตั้งบูธดีเจเปิดเพลงเพื่อเร้าอารมณ์การซื้อ, พริตตี้ที่จ้างมาเชียร์ลูกค้าหนุ่มๆ, การปรับโปรโมชันแบบฉับพลันให้กับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม หรือการทำพีอาร์แบบแหวกๆ ด้วยการเล่นกับความผูกพันของคนในเมืองนั้นๆ เหล่านี้เป็นไอเดียตัวอย่างที่นักขาย นักการตลาดควรจะเข้าใจ แม้ว่าบางทีอาจจะรู้สึกว่ามันเว่อร์ไปบ้างก็ตาม

พูดถึงเทคนิคการขาย การตลาดแล้ว จะไม่พูดถึงการบริหารทีมขายก็คงไม่ได้ - พระเอกแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ ตั้งแต่ตอนรับงาน การเตรียมตัวหาข้อมูล การรู้จักจุดเด่น หรือข้อจำกัดของตัวเองและทีมงาน แม้เมื่อมาเจอทีมขายเดิมของเจ้าของที่ต่างก็หดหู่กับความตกต่ำ และอนาคตที่ไม่เห็นแสงสว่าง ก็ต้องมีการปลุกใจทีมขาย ให้แข็งขัน การสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ (หรือน่าสงสาร) ของพนักงานขาย หรือแม้การใช้ระฆังเป็นตัวแทนความสำเร็จในการขาย แม้กระทั่ง ในเรื่องส่วนตัว ที่อาจจะมีผลต่อผลงาน เหล่านี้ ผู้จัดการฝ่ายขายที่ดี ไม่ควรปล่อยให้กลายเป็นข้อผิดพลาดขนาดใหญ่ได้เช่นกัน

อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจคือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า - เราไม่มีทางรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น เต็มที่เราอาจจะได้แค่คาดเดาจากประสบการณ์ที่เคยเจอ แต่ 3 วันของการขาย เราจะเห็นกรณีต่างๆ ที่ไม่คาดคิด ตั้งแต่ นักร้องที่จะเอามาเรียกแขกเกิดเบี้ยวเฉยๆ จนความไม่พอใจกลายเป็นจราจล ปัญหาการเทคโอเวอร์จากคู่แข่ง หรือปัญหาความน่าเชื่อถือจากลูกค้า หรือผู้ว่าจ้างก็ตาม ต่างต้องการสติที่มั่นคงในการตัดสินใจ (ในหนังแปลงตรงนี้ให้เป็นเรื่องอัศจรรย์ไปซะ)

อย่างที่บอก ถ้าข้ามเรื่องความดังของดาราแล้ว หนังเรื่องนี้สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนที่อยู่ในวงการการขาย การตลาดได้อย่างดี แม้ว่าอาจจะไม่ได้ครอบคลุมทุกประเด็นก็ตาม

ข้อสรุปสุดท้าย ที่ผมเองได้จากหนังเรื่องนี้คือ บางทีสิ่งที่เรามองหา มันอาจจะเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่ต้องการ ไม่นิยม หรืออาจจะอยู่ในเปลือกหีบห่อที่ไม่สวยงามก็เป็นได้ครับ