September 18, 2009

มองมุมเหม่ง > มีค่าพอหรือเปล่า (Is He (or She) worth for ...??)


... No man (or woman) is worth your tears
and the only one who is, will never make you cry ...
**********************************

หัวข้อนี้ ก็คิดว่าเป็นการฝึกภาษาอังกฤษประกอบความคิดนะครับ บอกกันตรงๆ เลยว่าไม่ได้นึกเองหรอก มีคนปรารถนาดีส่งมาให้ เพื่อความแน่ใจ ฝากพี่กู (เกิล) ไปช่วยเช็ค ปรากฏว่าฮิตพอประมาณ มีคนลอกไปลอกมา 549 ราย (ตอนนี้คงกลายเป็น 550 แล้ว)

กลับมาถึงประโยคข้างบนบ้าง แปลแบบงูๆ ปลาๆ หมาๆ แมวๆ ได้ว่า "ไม่มีใครมีค่าพอสำหรับน้ำตาของเรา แต่ถ้ามันจะมี เขา (หรือเธอ) คนนั้นจะไม่มีวันทำให้คุณร้องไห้อย่างแน่นอน"

โห ซึ้งนะครับ พูดแล้วดูเท่จัง แต่ว่าตกลงจะร้องหรือไม่ร้องไห้กันแน่เนี่ย ประโยคอย่างนี้ฝรั่งเรียกว่า ประโยคที่มีความขัดแย้งในตัวเอง (พาราดอกซ์ -- Paradox อธิบายสั้นๆ คือ ประโยคนั้นไม่เป็นจริง เพราะเงื่อนไขในประโยคจะหักล้างกัน)

เพราะว่า ถ้ามีคนที่มีค่าพอสำหรับน้ำตาเรา เราอาจจะเสียน้ำตาให้เขา แต่ถ้าเขาไม่ทำให้เรามีน้ำตา แล้วจะบ่งชี้คุณค่าเขาจากอะไร แต่อย่าคิดมากนะครับ สำหรับเรื่องพาราดอกซ์นี้ คิดไปมาก็ปวดหัว ให้นักวิชาการเขามีอะไรทำบ้างไปเถิด

คิดอีกที "น้ำตา" เป็นเครื่องหมายของความเศร้าอย่างเดียวนั้นหรือเปล่า ไม่น่าใช่นะ หลายๆ คนคงทราบกันดีว่า อีกบทบาทหนึ่งของน้ำตา (นอกเหนือจากไว้ล้างตาให้ใสปิ๊ง) คือการแสดงความปลื้มปิติยินดีที่เรามีต่อสิ่งดีๆ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่มีผลต่อทัศนคติ หรือคนที่เรารักด้วย

แล้วถ้าถามกลับว่า เราทำตัวให้มีค่าพอที่ไม่ทำให้ใครร้องไห้หรือไม่ หรือพูดอีกอย่างว่า เราทำตัวให้ใครต้องมาเสียใจกับเราหรือเปล่า

โห ในสังคมทุกวันนี้ เยอะนะครับ คนที่แวดล้อมตัวเรา เราไม่สามารถทำให้ "ทุกคน" พอใจได้ตลอดเวลา มันอาจจะมี "บางคน" ที่ไม่พอใจในบางเวลา แต่สิ่งที่เราัต้องยึดถือคือ หลักเกณฑ์ หรือ กติกา ที่ตกลงกันไว้ (แม้ว่าหลักเกณฑ์หรือข้อตกลงนั้น ในเวลาต่อมาจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องก็ตาม)

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักบริหารที่มีหลายๆ ปากท้องที่ต้องรับผิดชอบ จุดมุ่งหมายไม่ใช่ต้องทำให้ใครพอใจ แต่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเอาเปรียบใคร ทุกคนที่ทำตามหลักเกณฑ์จะได้รางวัล ต่างจากนั้นก็โดนลงโทษ ถ้าตัวหัวหน้าเองไร้ซึ่งความยุติธรรมแล้ว ใครหน้าไหนจะพึ่งพาได้ละครับ พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ถ้าได้ทำแล้ว ในระยะยาวจะได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน

อืม จากน้ำตามาจบลงตรงนี้ได้ด้วยประการฉะนี้
**********************************
I got the above quote from someone quite long time and I think to share you all. However, just found that it already distributed almost 549 websites (so, now it reaches 550 at MEngMORY)

Very impressive and look smart when you said that. From this kind of complicated phase (They call Paradox - Sentences that has conflict condition with untrue result) whether should we cry or not??
Because if someone is worth for us to cry. But he (or she) won’t do that so. how we know his (her) value to us? Ok. Don’t let it make you confuse it’s just showing how Paradox is.

In fact, Tear is not just a sign of sadness but it still shows feeling of delightful with all best things we have or people we love.

Anyway, considering in other angle from above, have we behaved good enough not to make anyone cry?

In our today life, surrounded with many different people. We can’t make “All” happy all the time. We may have “Someone” not happy in sometimes. The most important is not satisfaction them but the commitment or regulation that we all agreed. (Even that agreement is not right later on)

Especially, high level leader, we do not try to please everyone but confirm that they will get fairness, no handicap and proper reward. Quite difficult to do but would be good for all in the long run.

So, from tears drop end up with leadership as it is.

September 17, 2009

มองมุมเหม่ง > ตรรก หรือว่า ประสบการณ์ (Logic or Experience)


คิดได้ตามตำรา
ว่าแต่ว่าจะทำอย่างไร
ไม่ทำจะรู้ฤา
**************************************
คงเคยได้ยินการเปรียบเทียบเรื่อง “ความรู้” กับ “ประสบการณ์” มาบ้างแล้วนะครับ เรื่องราวจะเป็นว่า เด็กจบใหม่ มาเจอกับคนที่ทำงานมานาน แต่วุฒิต่ำกว่า เรียนมาน้อย แล้วก็ขัดแย้งกัน สุดท้ายเรื่องมักจะจบลงว่า ลุงผู้มีประสบการณ์เจ๋งกว่า

แต่มันไม่ใช่แค่นี้นะสิ


อย่างแรก ความรู้กับประสบการณ์ไม่เกี่ยวกับ “วัย” เท่าไร คนแก่ถ้าไม่ขยันอัพเดต ก็แย่พอๆ กับเด็กจบใหม่ที่หลงตัวเองเหมือนกัน วัยเป็นแค่ตัวชี้วัดว่าคนๆ คนนี้แก่แค่ไหน อยู่ในลำดับที่เท่าไรของทะเบียนราษฎร์ ก็เท่านั้น

ไม่เกี่ยวกับความฉลาดตรงไหนเลย

อย่างที่สอง ประสบการณ์ที่เยอะแยะ แต่ไม่สามารถสรุปเป็นองค์ความรู้ ความเข้าใจแจ้งได้ ทำอะไรตาม "คอมมอนเซนส์" ก็น่าจะแพ้ความรู้ที่ร่ำเรียนมา อย่างน้อยในส่วนหลังก็มีการคิดวิเคราะห์อย่างตกผลึก จากประสบการณ์หลายๆ มุมมาแล้ว

ฉะนั้นแล้ว เราควรหมั่นเติมความรู้ให้พร้อมท่าไว้ เรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่นๆ เป็นทางลัด และถ้ามีโอกาสเมื่อไร สามารถ “สะสม” ประสบการณ์ วิเคราะห์สรุปเป็นความรู้ของเราเอง และแนะนำผู้อื่นได้ นั่นจะเยี่ยมที่สุด

อีกมุมหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ คือ “ตรรก” ครับ อ่านผาดๆ นึกว่าเรื่องเดียวกับความรู้ แต่ไม่ใช่ครับ “ตรรก” เป็นวิธีคิดอย่างเป็นระบบ คิดเป็นเหตุเป็นผลเชื่อมโยงกัน แต่ความรู้เป็นเรื่องที่ศึกษาเอา แล้วค่อยมาย่อย มาคิดเป็นของตนเอง

แล้ว ตรรก กับ ประสบการณ์ เกี่ยวกันอย่างไร

เคยเห็นคนที่ทำงานข้ามสายงานไหมครับ จากหน่วยงานหนึ่ง ไปอีกที่หนึ่ง ที่ลักษณะงานต่างกัน ที่ได้ยินบ่อยๆ คือ “ผมเป็นนักบริหาร ทำงานตรงไหนก็ได้ เพราะผมมีหลักคิดการทำงานที่เข้มแข็ง...” (อ๊ะ เหมือนไม่ใช่แค่นักบริหารนะที่พูดอย่างนี้ แถวๆ รัฐสภา ก็แว่วๆ มาเหมือนกัน)

ในการคัดเลือกผู้บริหารนั้น คนที่มีวิธีคิด หรือ ตรรก ที่ดี และถูกต้องนั้น เป็นข้อดีส่วนหนึ่งที่ สามารถตั้งคำถาม เชื่อมโยงปัญหา และคาดการณ์สิ่งที่มัน “น่าจะเป็น” ได้ ผนวกกับตำแหน่งใหญ่โต ให้เด็กๆ เกรงใจ ก็จะสามารถแอบๆ หาข้อมูลมายืนยันความคิดตัวเองเพิ่มเติมได้ไม่ยาก

สุดท้ายแล้ว ดูดี แม้ว่าไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็ตาม ได้ใจทั้งนาย ทั้งลูกน้อง ว่าลูกพี่เราเก่งแฮะ

แต่จริงๆ แล้วเป็นอย่างนี้ทุกกรณีหรือไม่ ไม่ใช่แน่นอนครับ งานบางอย่างมีขั้นตอนที่ซับซ้อน บางครั้งในตำรา หรือวิธีคิด ก็ไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ทั้งหมด การคาดการณ์ไปเอง อาจจะทำให้บริษัท หรือ บ้านเมืองเสียหายได้ เพราะอำนาจในการสั่งการก็อยู่ในมือเราเช่นกัน

พูดถึงตรงนี้ ก็นึกถึงพระราชดำรัสของในหลวงเรานะครับ “อย่าให้คนโง่ มีอำนาจ” (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนโง่ที่คิดว่าตัวเองไม่โง่)

ดังนั้น ผู้บริหารเอง ก็ควรจะพิจารณาด้วยนะครับ ว่างานแบบไหนที่เราควรจะลงไปรู้รายละเอียดบ้าง ให้เวลากับสิ่งตรงนี้ที่สำคัญต่อบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องที่เราไม่เคยรู้ หรือไม่สามารถหาคนที่ไว้ใจได้เพื่อทำการบ้านให้เรา เช่น งานการเงิน การตลาด เป็นต้น

มิเช่นนั้นแล้ว ท่านอาจจะเป็นความทรงจำที่เลวร้ายในบริษัทของท่านก็เป็นได้

September 15, 2009

มองมุมเหม่ง > เรียนเก่ง กับ คุยเก่ง (Good Boy & Bad Boy)

ตั้งใจหมั่นศึกษา
ครูบอกว่าห้ามมาคุยกัน
ฉันเลยพูดไม่เป็น
*******************

สังคมเรามักจะให้คุณค่ากับคนเรียนเก่งนะครับ

เรียนเก่งในที่นี้ ส่วนใหญ่ก็จะให้ความสำคัญกับวิชาสายวิทยาศาสตร์ สายศิลปะก็อาจจะมีบ้างเช่นพวกภาษาอังกฤษ แต่วิชาอื่นๆ ดูเหมือนจะตกในฐานะที่ ยิ่งกว่าลูกเมียน้อย เสียอีก ไม่เช่นนั้นแล้ว ทุกวันนี้เราคงเห็น สปช. โอลิมปิก หรือ วาดเขียนโอลิมปิก บ้าง แทนที่จะเห็นแต่น้องๆ คณิตศาสตร์ โอลิมปิก เคมี ชีวะ ฯลฯ

ซึ่งก็แปลก ที่หลังจากลงข่าวหน้าหนึ่งไทยรัฐได้สามวัน ก็พลันหายไปจากความทรงจำของสังคม นั่นสิ มีใครจำชื่อน้องๆ ที่ได้คณิตศาสตร์โอลิมปิกปี 2549 บ้างไหมครับ เอาแบบไม่ต้องไปถามพี่กู (เกิล) นะ

ในสมัยนั้น ก็จะเน้นกันแต่เรื่อง ไอคิว ว่ากันว่า บางโรงเรียนถึงกับบ้าคลั่งเอามาเป็นเกณฑ์ตัดสินอนาคตเด็กๆ กันทีเดียว โชคดีที่วันนี้ เด็กๆ ในอดีต ที่เป็นผู้ใหญ่ในปัจจุบันเริ่มมองเห็นความไม่เข้าท่าเหล่านี้ เราจึงได้ยิน อีคิว เข้าคิว และอีกหลายๆ คิว รวมไปถึงโรงเรียนทางเลือกจากคุณครู หนูดี อี เอฟ ต่างๆ ซึ่งนับว่าดีขึ้นมาก แต่ก็เป็นการเริ่มต้นนะครับ คนเป็นพ่อแม่ก็ยังต้องเดินทางกันอีกไกล

กลับมาถึงเด็กอีกกลุ่มนึงบ้าง พวกคุยเก่ง ไงครับ

จั่วหัวมาอย่างนี้อาจจะงง เพราะคนสองแบบนี้อยู่กันคนละขั้ว แบ่งแยกดีเลว ตามมาตรวัดของคุณครูส่วนใหญ่ พวกเรียนเก่งมักยกย่องเชิดชู แต่พวกคุยเก่งไม่โดนตีก็ต้องมี ชอล์กเหิร หรือ แปรงบิน ร่อนมาให้เสียวเล่นๆ

แต่ถ้าเรามองว่า พวกคุยเก่ง นี้ความถนัดของเขา คือ การสื่อสาร ละครับ

คือ การสื่อสารที่จะสามารถเรียนรู้คู่สนทนา ความสามารถที่จะชักนำความสนใจจากคุณครูมาที่ตัวเขาเอง ทั้งที่มีความเสี่ยงจะโดนตีเพราะมาคุยกับเขาเป็นต้น

ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะครับ เด็กเหล่านี้ ต้องใช้ทักษะสูงมาก (ฮา)

มองถึงความสำคัญเหล่านี้ ลองคิดดูนะครับ ในชีวิตการทำงาน ถ้าเราไม่สามารถ สื่อสาร นำเสนอความคิดเราได้ บอกในสิ่งที่เราต้องการไม่ได้ ความสำเร็จก็ไม่บังเกิด ต่อให้เกียรตินิยมอย่างไร ก็ไร้ประโยชน์ครับ หรือ ถ้าเราไม่สามารถพูดจา สื่อสาร ในภาษาอื่นๆ ได้ถึงจะได้ โอลิมปิก สักกี่เหรียญก็ตาม พอพ้นเขตชายแดนแล้ว ก็อาจจะอดข้าว (หรือขนมปัง) ตายได้นะครับ

ความจริงจากบริษัทจัดหางานคือ ทุกวันนี้ ในตำแหน่งระดับสูงๆ นั้น คุณสมบัติที่ต้องการมากคือ ความสามารถในสื่อสาร แก้ปัญหาได้ ทำความเข้าใจประสานงานกับผู้อื่นได้ ทั้งภายในภายนอก

ผมมานั่งนึกย้อนไป ตั้งแต่สมัยเรียน มีวิชาไหนบ้างที่จะสอนเรื่องเหล่านี้

น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ที่ได้ๆ มากันนั้น ไม่บุญนำ ก็วาสนาพา หรือได้จากการ คุยเก่ง-เล่นเพลิน แทน

บทความวันนี้ ไม่ได้ต่อต้าน หรือให้ผู้อ่าน ละเลยวิชาหลักๆ ทั้งหลายนะครับ ยังจำเป็นอยู่ เพียงแต่อยากให้มองถึงความสำคัญของ การสื่อสาร บ้างก็เท่านั้น ทั้งการพูดจา, ภาษาต่างประเทศ, การนำเสนอ เหล่านี้

ก็หวังเล็กๆ ว่า คนไทยจะพูดกันเข้าใจกันมากขึ้น และไปแข่งขันนอกประเทศได้บ้างเท่านั้น