September 30, 2010

มองมุมเหม่ง > ทั้งหวาน ทั้งขม (ฺBitter Sweet)

ทำได้ตามหน้าที่
แค่พอดีแต่ไม่ดีพอ
อย่ารอที่จะต่าง
*****************************************************

ณ จุดแวะพัก บนเส้นทางมอเตอร์เวย์ มีร้านกาแฟมากมายหลายร้าน เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง จัดว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของกาแฟ "ตรานางเงือก" ถึงขนาดที่ว่ามีบัตรเติมเงินไว้จ่าย และทักทายพนักงานในร้านได้ เหมือนบ้านตัวเอง

ผมเองไม่ใช่คอกาแฟ และไม่เคยขัดใจให้เพื่อนประหยัด แวะไปกินกาแฟร้านอื่นที่ราคาถูกกว่า 2-3 เท่า แต่ก็รับรู้ได้ว่า ความแตกต่าง และ สิ่งที่ทำให้ร้านนี้ ยังคงความนิยมได้ตลอดมาก็คือ การจัดการที่มีมาตรฐาน รสชาติที่แน่นอน บรรยากาศในร้าน และคุณภาพของพนักงาน

แต่วันนี้ไม่ได้จะมานั่งวิเคราะห์ความสำเร็จ ให้ทุกท่านได้อ่านกันหวานๆ ขมๆ เพราะมีมากมายหลายบทความ ได้พูดถึงกันอย่างเจาะลึกไปแล้ว แต่เป็นสิ่งที่เห็นเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากเล่าให้ัฟังในแง่มุมของนักบริหารครับ

ขาออกไประยอง ผมสั่ง Iced Mocha เพื่อนสั่ง Cappuccino ขนาดกลาง 2 ถ้วย ก็ประมาณ 200 บาท ระหว่างที่รอจ่ายเงิน เพื่อนเหลือบไปเห็นโปรโมชันล่าสุด "ซื้อ 300 บาท รับฟรี พวงกุญแจ..." ดีกรีแฟนพันธุ์แท้อย่างนี้ จะพลาดได้ไง

"น้อง ตอนนี้บิลพี่เท่าไร" -- "200 ครับ"
เพื่อนหันมาทางผมทันที "เฮ้ย มึงไปดูดิ เอาอะไรมาอีก 100 นึงก็ได้"
"เออ พี่ครับ ขอโทษครับ" พนักงานเก็บเงิน ทำหน้าเซ็งๆ

"ตอนนี้ผมออกบิลไปแล้วครับพี่ กติกาบอกว่า พี่ต้องซื้อได้ 300 ในบิลเดียวกันครับ" -- "อ้าว ไม่ได้เหรอ ถ้าได้เนี่ย เพื่อนพี่เลือกแซนวิชเพิ่มเลยนะ"
"ไม่ไ้ด้ครับพี่"

หน้าเซ็งๆ ถูกส่งผ่านมาที่เพื่อนผมแทน "เออๆ คิดเงิน" พร้อมกับคาปูชิโน่รสแย่ที่สุดในวันนี้
*****************************************************

ขากลับก็แวะอีก น้องพนักงานเก็บเงิน เป็นสาวน้อยน่ารัก ยิ้มแย้ม (เกี่ยวกับเรื่องนี้ตรงไหนเนี่ย) รอบนี้เปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้ปั่น กับ กาแฟ (ไม่ต้องเดาว่าใครเป็นนางเอก ใครเป็นพระเอก)

"ราคาเท่าไรน้อง" -- "250 ค่ะ"

ผมหันไปกระซิบบอกเพื่อน "มึงลองถามเรื่องพวงกุญแจดิ"
"เออ เนี่ยพวงกุญแจเนี่ย อยากได้ทำไงอ่ะ" -- "อ้อ พี่ต้องซื้อครบ 300 ในบิลเดียวนะคะ"

"อ้าว แต่นี่จ่ายไปแล้วนี่ พี่ซื้อคุกกี้เพิ่มอีกจะพอไหม"
น้องหยุดคิดนิดนึง
"ค่ะ พี่คุกกี้อีกชิ้นนึง ราคา 60 รวมแล้ว 310 บาท ได้ค่ะ" ว่าแล้วก็กดเครื่องอีกครั้ง
*****************************************************

บนโซฟา คุกกี้ในปาก (ของผม) กำลังละลายไปกับน้ำเบอรี่ปั่น และใบหน้าสมหวังของเพื่อน
"ดีใจไหมท่าน ได้พวงกุญแจแล้ว" -- "เออว่ะ"
"มึงเห็นไหม ว่าเด็กสองคนนี้มันต่างกันยังไง" -- "ต่างดิ คนนึงน่ารักกว่าอีกคนนึง"

"เฮ้ย...ไม่ใช่ คนแรกมันทำหน้าที่ตามกฏเกณฑ์ที่บริษัทวางไว้ มันไม่ผิดหรอกนะ เพราะกฏมันว่าไว้อย่างนั้น แม้ว่าการตัดสินใจของน้องเอง ทำให้ร้านอดได้เงินเพิ่มอีก 100 บาทก็ตาม"

"แต่คนที่ 2 กลับคิดว่า ถ้าร้านนี้น้องมันเป็นเจ้าของเอง เงินที่ได้เพิ่มอีก 60 บาท กับรอยยิ้มของมึง มันคุ้มที่จะเสี่ยงให้โดนด่าว่ะ แต่เชื่อไม๊ ใครจะกล้าด่าวะ"

เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่แค่ที่ร้านกาแฟนี้เท่านั้น มันเป็นปกติของทุกบริษัท ขึ้นกับมุมมองของผู้บริหารว่าจะ "มอง" ลูกน้องแบบไหน ถ้าคิดว่า ลูกน้องมีแนวโน้มจะโกง ก็จะออกกฏในเชิงป้องกัน กลายเป็นว่า "จำกัด" ไปซะทุกอย่าง ท้ายที่สุดแล้ว คนที่ทำดี อาจจะโดนทำร้ายได้ แต่ถ้า "ปล่อย" เกินไป ก็จะเป็นช่องโหว่ให้คนโกงได้

ดังนั้นแล้ว "ศิลปะ" ในการกระจายอำนาจให้สมดุลนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งนัก เพราะในสภาพที่บริษัทกำลังจะเติบโต เราอาจจะต้องการคนที่กล้าตัดสินใจ คิดในมุมมองของเจ้าของ แต่ถ้าบริษัทมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น พนักงานมากมาย กฏระเบียบในระดับที่เหมาะสมก็อาจจะจำเป็น แม้ว่าต้องแลกมาด้วยอัตราการเติบโตที่น้อยกว่าในตอนเริ่มต้นก็ตาม

ก็หวังว่าทุกท่านคงจะ "มองเห็น" และได้กลิ่นหอมเพิ่มเติมหลังถ้วยกาแฟบ้างนะครับ

September 27, 2010

มองมุมเหม่ง > “ทนอยู่” หรือ “อยู่ทน” (Dead Or Alive)

อยู่ไปไม่พึงใจ

ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัว

ที่กลัวเพราะไม่รู้

*******************

ได้รับรีเควสท์ (Request) จากคนคุ้นเคย มิตรรักแฟนเพลงให้ลองเสนอมุมมองเกี่ยวกับ ทนอยู่ กับ อยู่ทน ให้หน่อยว่า นายเหม่งจะมองมันยังไงได้บ้าง


ครับ ก็สนุกดีที่จะได้ โจทย์ จากคนอ่านมาช่วยจุดประกายความคิด ในภาวะยุ่งๆ หัวสมองตีบตันอย่างนี้


ถ้าฟังเผินๆ คนเรามักจะรู้สึกดีกับวลี อยู่ทน และมองภาพในแง่ลบนิดๆ กับคนที่ ทนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน หรือเรื่องใดๆ ภาพของคนที่ อยู่ทน นั้น เป็นภาพของคนที่อดทน มีความรัก ความพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ ปรับตัวได้ในสภาวะต่างๆ


ต่างกับภาพของคนที่ ทนอยู่ ที่มักจะเป็นเรื่องอึดอัดใจ จำยอมกับสิ่งที่เป็น ไม่มีหนทางไป เหม็นเปรี้ยวกับชีวิตไปวันๆ ส่งผลต่อคนรอบข้างในแง่ลบไปทั้งหมด ซึ่งเขาก็มีเหตุผลของเขา ซึ่งบางทีก็เข้าใจได้บ้าง ไม่ได้บ้างตามพื้นฐาน อัตภาพความคิดของคนฟัง เหล่านี้มักลงท้ายด้วยความเห็นใจ ปลอบใจ แกมงงงง พร้อมกับคำถามที่ว่า แล้วจะทนไปทำไมว่ะ??


ลองมาคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว คนทั้งสองแบบนี้ ล้วนไม่ต่างกันกับสิ่งที่เขาเลือกนะครับ ทั้งสองคนต่างก็อยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป


แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ วิธี มอง ปัญหา และ ทัศนคติ ที่จะอยุ่กับมัน ครับ


คนที่ อยู่ทน นั้นจะมีวิธีมองปัญหา หรือ สภาพแวดล้อม อย่างสร้างสรร ยอมรับความเป็นจริงได้มากกว่า ยกตัวอย่างเพื่อนร่วมงานผมหลายๆ ท่านที่อยู่กับบริษัทมาจนได้โล่ได้ทองมาเต็มบ้านนั้น เขาเข้าใจสภาพของการแข่งขัน หัวโขนในการขึ้นลงของตำแหน่งต่างๆ รวมถึงการเข้ามาแลจากไปของหัวหน้าชาวต่างชาติ


แต่คนที่ ทนอยู่ นั้น จะยึดติดกับสภาวการณ์ในตอนนั้นเกินไป ไม่ได้มองถึงผลกระทบ ประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดมาก่อน และแนวโน้มที่จะเป็นไปในอนาคต ทำให้อดทนไม่ได้ จนบางทีก็ด่วนตัดสินใจหุนหันกันอย่างน่าเสียดาย


ดังนั้น ถ้าเริ่มรู้ตัวว่า เรากำลังจะกลายเป็น ทนอยู่ แมน และยอมไม่ได้ขนาดนั้น ก็ต้องมานั่งวิเคราห์กันว่า ในปัญหา หรือ สถานการณ์เหล่านั้น มี มุมบวก อะไรบ้าง ถ้าเป็นเรื่องของบุคคล เราลอง สวมหมวก ใส่ความรู้สึกของเขาบ้าง ว่าทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้น แล้วเรา ยึดติด อะไรเกินไปหรือเปล่า การสื่อสารระหว่างบุคคลเป็นอย่างไร เราต่าง พูด ตามที่เราคิด หรือเรา เห็น คนอื่น ตามภาพที่เรา คิด หรือเปล่า


หรือถ้าเป็นเรื่องงาน บางทีต้องกลับไปมองวัตถุประสงค์ที่เราต้องการเดิมว่า ระหว่างทางที่เดินมา เราเขวออกนอกทางไปหรือไม่ ลืมไปหรือเปล่าว่าเราต้องการอะไร หรือว่าวิธีการทำงานที่ออกแบบไว้มันไม่เอื้อต่องานนี้หรือเปล่า ที่พบเห็นส่วนใหญ่ อาจจะเป็นเพราะทำงานกันตาม ความเคยชิน ที่ทำต่อๆ กันมา โดยไม่รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว


เชื่อได้ว่า ถ้าหากเราลองหยุดที่จะไตร่ตรองปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แล้ว พวกเราจะ อยู่ทน กันมากกว่านี้ครับ