December 26, 2009

เป็นเรื่อง > ห่างกันวันเทศกาล

ตอนสายๆ ในวันลอยกระทง เจนคลิกอีเมล์อ่านข้อความที่แนบมากับ e-card การ์ตูนรูปกระทงตลกๆ ที่ชายหนุ่มสารถีคนล่าสุดส่งมาให้

"... ยิ้มแล้ว วันนี้ไปลอยกระทงด้วยกันนะ ... พี่ป๊อป"

ยิ้มน้อยๆ ตรงกันข้ามกับข้อความที่ตอบกลับไป

" ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากไปทำแม่น้ำสกปรก หนูนะกรีนพีชนะคะ สิ้นเดือนเงินเดือนออกแล้วไปแดนซ์ดีกว่า"
********************************************************************


บ่ายของวันที่ 23 ธันวาคม เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น ระหว่างที่พักสายตาจากจอคอมฯ

"ฮัลโหล เจนเหรอ คืนพรุ่งนี้ไปฉลองคริสตมาสกันไหม ผมจองโต๊ะบนลานดาดฟ้าที่โรงแรม xxx นี้แล้ว ผมอยากจะไปกับคนพิเศษอย่างคุณนะ"

"อืม ขอบคุณมากค่ะ แต่เจนติดธุระกับที่บ้านน่ะ โทษทีนะ ไว้คราวหน้าได้ไหม แล้วจะโทรกลับหาแม็คอีกทีนะ"
********************************************************************

เช้า 30 ธันวาคม SMS จากคนคุ้นเคย รอส่งเธอก่อนไปทำงานวันสุดท้าย
"Good Morning ที่รัก ไปเคานท์ดาวน์รับปีเสือที่ลานเซนทรัลเวิลด์กับผมนะครับ จาก พี่ต้อม"

เธอตอบกลับทันที
"ขอบคุณมากค่า แต่ไม่ไหวหรอก คนเยอะอ่ะ ไว้ไปหลังปีใหม่ละกัน แต่อย่าไปเหล่ใครละ"
********************************************************************

13 กุมภาพันธ์ ตอนเย็น โทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน

"เจน พรุ่งนี้ว่างไหม ผมอยากชวนคุณไปดูหนังเรื่อง xxx ที่คุณชอบตอนดูหนังตัวอย่างไง แล้วไปแฮงกันที่เอกมัยต่อนะ ผมไปรับเอง"

"พี่เอกเหรอ พรุ่งนี้ไม่ไปนะ ต้องไปเยี่ยมคุณย่านะ แต่เจนได้รับดอกไม้จากพี่แล้วนะ สวยเชียว ไว้เจนเลี้ยงข้าวพี่ตอนวันเกิดพี่เดือนหน้าละกัน นะ นะ"
********************************************************************

14 กุมภาพันธ์ เจนนั่งเงียบๆ คนเดียวที่บ้านกับอารมณ์ที่หดหู่ นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ ทั้งจากพี่ป๊อป แม็ค พี่ต้อม และพี่เอก ชายหนุ่มทั้ง 4 คนอยากให้วันนี้เป็นวันพิเศษระหว่างพวกเขาและเธอ โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะ ที่ทุกคนต่างใจตรงกัน และเธอเองก็ยังไม่อยากทำให้ใครต้องเสียน้ำใจ ทำให้เธอต้องเลือกที่จะปฏิเสธทุกคำเชิญในทุกๆ วันเทศกาลของความรัก ตั้งแต่ปีใหม่ วาเลนไทน์ ลอยกระทง และคริสตมาส มีเพียงเงาตัวเองกับคนในจอทีวีเป็นเพื่อนเท่านั้น

ในทางกลับกัน เธอให้เวลาเต็มที่กับทุกคนในวันปกติที่ไม่ใ่ช่เทศกาล บริหารเวลาจนน่าจะได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ เธอพยายามจะหาข้อสรุปให้ได้ว่าใครคือ "คนที่ใช่" สำหรับเธอกันแน่ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย ฝันร้ายของเธอกับเหตุการณ์รถไฟชนกันตั้งแต่สมัยเรียน ที่หนุ่มสามย่านต้องมีเรื่องกับหนุ่มท่าพระจันทร์ ยังตามมาหลอนเธออยู่เป็นระยะๆ กับสมญานามที่เรียกกันลับหลังว่า "เจ้าชู้ตัวแม่"

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขัดจังหวะความเศร้า

"ปิดมือถือเหรอลูก เมื่อกี้มีโทรศัพท์เข้ามาที่บ้าน เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนเราชื่อต้อมน่ะ แม่ก็นึกว่าหลับแล้ว เห็นเพลียๆ มีอะไรหรือเปล่า"

แม่เธอเองก็พอจะรู้จักนิสัยของลูกสาวดี ดังนั้นเจนจึงตัดสินใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง

"อืม ก็สมควรละนะ ที่ทุกคนเขาจะคาดหวังกับเราไว้มากอย่างนี้ จริงๆ แล้วแม่กับพ่อเองก็เคารพความคิด การตัดสินใจของลูกนะ แต่การที่จะมีตัวเลือกหลายๆ คนก็ไม่ผิด ตราบใดที่มันไม่ได้เลยเถิดไปมากกว่าการเป็นแฟนนะ"

"แต่ถ้าจะต้องตัดสินใจ อยู่ที่ว่าทั้งเราทั้งเขาจะอยู่ดูแล และไปด้วยกันได้ในทุกๆ เรื่องหรือเปล่า รวมไปถึงสิ่งแวดล้อม สังคม ของทั้งสองฝ่ายด้วย คนไทยนะเวลาแต่งมันก็เหมือนทั้งสองครอบครัวต้องแต่งกันไปด้วยโดยปริยายนะ และในจุดที่แตกต่างกันนั้น ทั้งเราและเขารับกันได้ไหม มันจะมีปัญหาในอนาคตหรือเปล่า เหล่านี้เจนต้องเอามาคิดด้วยนะลูก บางคนนั้นก็ต้องดูกันยาวๆ ช่วงโปรโมชันบางทีมันก็หวือหวาไปอย่างนี้แหละ"

"แล้วกับป๊ะป๋าละ ทำไมแม่ถึงคิดว่าใช่ละ" เธอถามในสิ่งที่ไม่เคยคิดสงสัยมาก่อน

"สำหรับแม่นะ แม่เลือกพ่อเพราะเขาแสดงให้แม่เห็นไง ว่าเขามีความรับผิดชอบ ทั้งต่อสิ่งที่ได้สัญญาไว้ และการวางแผนอนาคต ก็อ่ะนะ ดูแล้วพ่อเขาไม่ค่อยจะโรแมนติกเท่าไร แต่ก็ไม่ทำให้แม่ต้องเสียดายเวลา 30 ปี ที่เราได้รักกันเลย"

"ส่วนเจนเองน่ะ ถ้าถึงเวลาต้องตัดสินใจก็ต้องทำ อย่าลังเล หรือคิดจะถนอมน้ำใจทุกฝ่ายเลย ท้ายที่สุดแล้ว ก็มีแค่คนเดียวที่สมหวังเท่านั้น ที่สำคัญ เราคิดว่าเราเองก็มีดีพอสำหรับคนที่จะเขามาหรือเปล่า ดีพอที่เขาจะทุ่มเททุกอย่างให้เราหรือเปล่า หรือแค่ว่าเราเองก็เหมือนๆ สาวๆ คนอื่นๆ ของเขาเหมือนกัน"
********************************************************************

คืนวันวาเลนไทน์นี้ เจนนอนหลับอย่างสบายใจ ความรู้สึกหดหู่ที่ต้องเดียวดายในวันเทศกาลต่างๆ แม้ไม่อาจหายไป แต่ก็บรรเทาลง พรุ่งนี้ สิ่งที่เธอจะต้องทำแต่เช้าก็คือการโทรไปหาใครคนหนึ่งในสี่คนนั้น

December 22, 2009

มองมุมเหม่ง > คับที่อยู่ได้ คับใจก็ไม่ต้องอยู่ (The Best Place to Work)

คับที่พออยู่ได้
อึดอัดใจก็ไม่อยากอยู่
หยั่งรู้ด้วยตัวเอง
******************
ในวงสนทนาอย่างไม่เป็นทางการกับเพื่อนร่วมงาน ใครบางคนเปรยขึ้นมาถึงผลการสำรวจของนิตยสาร Fortune ที่ทำร่วมกับ สถาบันจัดอันดับสถานที่น่าทำงาน (The Great Places to Work Institute - คนก่อตั้งเข้าใจคิดนะ อยู่ดีๆ ก็ลุกมาหาเรื่องจับบริษัทชาวบ้านมาเทียบกัน แถมได้เงินและกล่องอีก) ถึงข่าวที่นำเสนอบริษัท 100 แห่งในสหรัฐอเมริกาที่น่าทำงานด้วย โดยใช้ผลการสำรวจจากแบบสอบถาม ซึ่งจะถามเกี่ยวกับนโยบายด้านบุคลากร ค่าจ้างและสวัสดิการ และคำถามแบบเปิดในเรื่องปรัชญา การสื่อสาร และหัวข้ออื่นๆ ประกอบกัน

ผลดีอย่างหนึ่ง นอกเหนือไปจากภาพลักษณ์ (และโอกาสที่แต่ละบริษัท จะหาเรื่องออกข่าวประชาสัมพันธ์เพื่อบลัฟชาวบ้านแล้ว) การสำรวจนี้ น่าจะใช้เป็นกระจกให้แต่ละบริษัทได้ "ส่อง" ดูตัวเองบ้างว่า เรามีการจัดการบริหารได้เหมือนหรือแตกต่างกับบริษัทอื่นๆ อย่างไรบ้าง อะไรจะเป็นปัจจัยให้พนักงานรู้สึก "ดี" และอยากที่จะ "ทุ่มเท" ให้กับเรายิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งต้องดูให้ดีนะครับ ว่าอะไรที่ทำได้หรือไม่ จำเป็นหรือเปล่า ไม่ใช่ว่า เห็นช้างขี้แล้วต้องขี้ตามช้าง

อีกประเด็นที่ผมยังไม่เห็นในรายงานพวกนี้ คือเรื่องของการตอบโจทย์ทางธุรกิจ ว่าหลังจากดำเนินมาตรการต่างๆ นี้แล้ว บริษัทเหล่านี้มีผลกำไรมาก น้อยแค่ไหน หรือมีอัตราหมุนเวียนพนักงานเข้า-ออกเป็นอย่างไร แล้วคนที่ลาออกจากบริษัทเหล่านี้นั้น มีสาเหตุจากอะไร ฯลฯ ภาพเหล่านี้ไม่ฉายให้เห็น ไม่วิเคราะห์ให้ดี ก็จะพาลหลงทางกันไปได้ครับ

ซึ่งถ้าอ่านกันลึกๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญ และไม่ยากในการปฏิบัติคือ
- การรับฟังพนักงาน ให้พวกเขาได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ได้มีส่วนร่วม ในการที่จะกำหนดความเป็นไปของบริษัทร่วมกัน
- ให้ความยุติธรรม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ คนทำถูกได้รางวัล คนทำผิดต้องรับโทษตามที่ตกลงกันไว้
- เห็นพนักงานเป็นคน ไม่ใช่เครื่องจักร มีการกำหนดสวัสดิการที่เหมาะสม คิดถึงพนักงานในมุมอื่นๆ เช่น เรื่องสุขภาพ การพักผ่อน

ส่วนเรื่องการจูงใจแบบอื่นๆ นั้น ผมว่าเป็นลูกเล่นที่จะกำหนดกันขึ้นมามากกว่า แต่ก็น่าสนใจดี

บริษัทที่พนักงานอยาก "อยู่" ด้วยกันนานๆ นั้น บางทีก็ขึ้นกับเหตุผลของแต่ละคน พนักงานต้องรู้ว่า ตนเองเข้ามาในบริษัทนี้ต้องการอะไร ที่สามารถตอบความต้องการของเขาได้ เช่น ใกล้บ้าน งานท้าทาย เงินเดือนดี อบอุ่น มีสาวๆ (หรือหนุ่มๆ) เยอะ ภาพลักษณ์ดี เป็นที่รู้จัก ฯลฯ ถ้าผู้บริหารมัวแต่จะเอาใจทุกๆ คน คงจะบ้าตายกันไปก่อน

เหล่านี้ทำให้ "บริษัทที่น่าอยู่ด้วย" ของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกครับ

นอกจากนั้นแล้ว คนที่เข้ามาใหม่ ก็ต้องมีส่วนร่วมในการทำให้ "น่าอยู่" ด้วยเช่นกัน ถ้าสักแต่ว่าเข้ามาเพื่อตอบโจทย์ตัวเองอย่างเดียว สุดท้ายมันก็อาจจะ "ไม่น่าอยู่" สำหรับคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

December 21, 2009

มองมุมเหม่ง > อยากใกล้แต่ต้องไกล (Far but Close at Heart)

อยากให้เธออยู่ใกล้
ได้ดั่งใจแต่ไม่ได้การ
พาลให้เธอลำบาก
*************

หลายปีที่ผ่านมา ช่วงใกล้ปีใหม่ผมมักจะมีนัดไป "พักร้อน" ในโรงพยาบาลต่างๆ เป็นประจำ ที่จริงไม่ได้เป็นธรรมเนียมเหมือนตรุษจีน หรือเช็งเม้ง หรือเพราะนัดพยาบาลที่ไหน แต่เพราะหักโหมร่างกายในงานปาร์ตี้กินดื่มจนเกินปกติ เขียนแสดงตัวอย่างนี้ก็ไม่อยากให้ใครเอาเยี่ยงอย่างนะครับ เดินกันทางสาย "พอดี" เป็นดีที่สุด

เวลาที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อนั้น ก็เป็นช่วงทั้งดีทั้งแย่ ที่แย่นอกเหนือไปจากความเจ็บป่วยที่ได้รับ คือ งานต่างๆ ที่ยังไม่เสร็จ ก็จะยังไม่เสร็จต่อไป ทำให้เราป่วยได้อย่างไม่สบายใจ ไม่รวมกับรายจ่ายค่าพยาบาลที่นับวันจะไม่อนุญาตให้เราอ่อนแอได้บ่อยๆ แล้ว

ข้อดีที่เห็นชัดคือ มีเวลาพักได้เต็มที่ ได้หยุดคิดทบทวนกิจกรรมดี กิจกรรมเลวต่างๆ ที่ผ่านมา เพื่อที่จะบอกตัวเองไม่ให้ทำมันอีกครั้ง

ข้อดีอีกอย่างคือ ได้มีคนที่ "รัก" เรา "ห่วงใย" เรามาเยี่ยมเยียนให้เรารู้สึกไม่เดียวดายและว่างเปล่าเกินไปนัก ครั้งหนึ่งที่ผมป่วยหนัก เพื่อนๆ มาหากันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำให้วันนั้นกลายเป็นงานเลี้ยงรุ่นย่อยๆ ไปเลยทีเดียว

แต่ประเด็นที่ต้องคิดถึงคือ คนป่วยก็อยากให้คนที่รักมาเยี่ยม แต่คนที่มาเยี่ยม แม้ว่าจะมาด้วยใจ ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเองก็มีความเสี่ยงที่จะติดโรคจากเรา หรือคิดโรคอื่นๆ จากโรงพยาบาล ซึ่งว่ากันตรงๆ แล้วเป็นที่รวมสรรพโรคเลยทีเดียว

ก็น่าลำบากใจไม่น้อยนะครับ ที่บางครั้งเราต้อง "จำใจ" ให้คนที่รักเราอยู่ไกลๆ เราดีกว่า

ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่อาจจะเป็นหรือลงเอยอย่างนี้ ก็มองกันให้เข้าใจ ใช้เทคโนโลยีเขามาสื่อสารกัน คงช่วยบรรเทากันได้บ้าง

หายดีแล้ว ก็กลับมา "รัก" กันเหมือนเดิมนะครับ