February 17, 2021

เลขาฯ ที่รัก (The Secretary)

วันหยุดยาววันนี้ ผมได้มีโอกาสจัดห้องทำงานที่ตั้งใจมานาน ในลิ้นชัก ผมเจอกล่องขนาดกระทัดรัดสีขาว กล่องที่ทำให้นึกถึง "เธอคนนั้น" อีกครั้ง 

ภาพเมื่อวันวานที่นานผ่านไป ถูกความคิดถึงตวัดดึงเข้ามาด้วยความไวเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวาน


*********************************************

(กลางปี พ.ศ. 2552) 
กริ๊ง!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแต่เช้า ผมงัวเงียคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่รอให้ขี้ตาหลุด เสียงใสๆ ที่เริ่มจะคุ้นเคย แว่วตามมาทันที


"สวัสดีค่ะ เจ้านายคะ วันนี้ Breakfast Meeting ที่โรงแรมคอนราดนะคะ ถ้าไม่ออกจากบ้านก่อน 7 โมง จะมาไม่ทัน 8 โมงครึ่งนะคะ แต่ดิฉันแจ้งคนรถให้รอหน้าบ้านแล้วค่ะ"
"อืมๆๆ ขอบใจมาก อิส"


*********************************************

 

อาหารเช้าและการประชุมเป็นไปด้วยดี แค่ชั่วอึดใจที่ผมเปิดมือถือขึ้นมา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"เจ้านายคะ ระหว่างที่ประชุม มีโทรศัพท์โทรมา 3 สายค่ะ สายแรก คุณผู้หญิงโทรมาเตือนเรื่องดินเนอร์เย็นนี้ ที่โรงแรมมาริออท ดิฉันจองโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว เลือกตำแหน่งเดิมที่คุณผู้หญิงชอบนั่งประจำค่ะ 

สายที่สอง คุณไมเคิล นัดประชุมวันศุกร์นี้ เช็คตารางแล้ว เจ้านายติดประชุมบอร์ด ดิฉันเลยประสานเลื่อนเป็นวันจันทร์หน้าตอนเช้าแทน 

ส่วนสายสุดท้าย คุณริชาร์ดโทรมาสอบถามเรื่องเอกสารที่ส่งมาทางอีเมล์ ดิฉันคอนเฟิร์มไปแล้วค่ะ ว่าได้รับเรียบร้อยแล้ว เรากำลังพิจารณาอยู่"

"ดีมาก อิส เดี๋ยวผมจะเข้าออฟฟิศแล้ว น่าจะยาว แล้วตอนบ่ายสองแต่ช่วยส่งรถไปรับลูกผมที่โรงเรียนด้วยนะ"
"ได้ค่ะ ถ้างั้นให้คนรถไปรับให้ดีกว่า เดี๋ยวดิฉันประสานเรื่องเส้นทาง กับ อาหารว่างคุณหนูเลยค่ะ"

*********************************************

 

ที่ทำงาน หลังจากประชุมกับทีมฝ่ายขาย ผมกดปุ่มโทรภายในถึงอิสอีกครั้ง
"อืมม ว่างล่ะ ช่วยดูอีเมล์ให้ผมหน่อยสิ มีอะไรด่วนไหม"
"เมล์ส่วนตัวจากกลุ่มเพื่อนเจ้านาย 2 เมล์ ดิฉันโอนไปกล่องจดหมายส่วนตัวแล้วนะคะ ส่วนเรืื่องงานมี 30 เมล์เพื่อทราบ และ 5 เมล์จากสำนักงานใหญ่และสาขาค่ะ จะให้อ่านเมล์ด่วนก่อนไหมค่ะ"
"อืม เอาเลย" ผมหลับตาให้พัก เปิดอายาตนะส่วนอื่นๆ ทำงานให้เต็มที่แทน


*********************************************

คืนนั้น หลังมื้อเย็นที่โรงแรม ผมกลับมาบ้าน มึนๆ นิดหน่อย ถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ แวะชั่งน้ำหนักตัวที่หน้าห้องน้ำ ระหว่างที่รอน้ำให้เต็มอ่าง เสียงอิสดังขึ้นผ่านลำโพงภายใน

"นายค่ะ ต้องขอโทษที่รบกวนค่ะ ดิฉันจะแจ้งว่า ตอนนี้น้ำหนักนายเริ่มเพิ่มขึ้นแล้วนะคะ ระดับน้ำตาล และความดันก็สูงกว่าเกณฑ์มาสักพักแล้ว ต้องระวังนิดนึงนะคะ แล้วจะให้ดิฉันนัดคุณหมอเพื่อตรวจสุขภาพประจำเดือนเลยหรือเปล่าคะ ตอนนี้ทั้งตารางนายและคุณหมอเดวิดว่างวันพฤหัสฯ บ่ายสามโมง จะให้นัดเลยไหมคะ"

"ฮ่าฮ่าฮ่า เกี่ยวกับไวน์ที่ดื่มหรือเปล่า แต่ถ้ามันเป็นตามที่เราว่า ก็จัดการนัดเลย ดีเหมือนกัน"

"อ้อ อีกเรื่องค่ะ พรุ่งนี้วันเกิดคุณแองเจลล่า นายจะให้เตรียมอะไรไหมคะ"

"อะไรดีละ"

"ปีที่แล้วเราส่งช่อดอกแกลดิโอลัสไปคะ ปีนี้ดิฉันคิดว่าเป็นกระเช้าผลไม้ดีไหม เพราะนัดทานข้าวคราวที่แล้ว เมนูที่เธอเลือกจะเป็นประเภทมังสวิรัติคะ"

"โห อิส คุณนี่เยี่ยมจริงๆ"

*********************************************

ผมนอนแช่น้ำอุ่น อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ที่ได้ "อิส" มาช่วยงานต่างๆ เธอมาอยู่กับผมราวๆ 3 ปีแล้ว ก็นับว่าไม่แพงเลยกับค่าใช้จ่ายของเธอ กับงานแทบจะ 24 ชั่วโมงนี้ คุณคงเห็นแล้วละสิว่า เธอดูแลผมดีแค่ไหน เธอดูแลผมตั้งแต่ก่อนตื่นนอน จนกระทั่งหัวถึงหมอน ไล่เรียงตั้งแต่เรื่องส่วนตัว ครอบครัว เรื่องสุขภาพ จนกระทั่งเรื่องงาน และความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ประสิทธิภาพ และคุณภาพชีวิตผมดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ "อิส" รู้แม้กระทั่งรายละเอียดของผมบางอย่าง ที่ภรรยาผมยังจำไม่ได้เลย

ผมอยากรู้ว่า เธอจะคิดกับครอบครัวของเราอย่างไร เพราะเธอไม่เคยบ่น หรือเหนื่อยกับงานที่ได้รับไปเลย ไม่แม้จะถามซอกแซกนอกเหนือหน้าที่ ผมเริ่มผูกพันกับเธอมากขึ้น 

มากขึ้นจนบางครั้ง ผมเองก็กลัวขึ้นมา กลัวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเราจะมากไปกว่าการเป็นเจ้านายและเลขา
เฮ้อ.. ถ้าไม่ติดว่า "อิส (IS: Intelligent Secretary)" เธอเป็นแค่ "ปัญญาประดิษฐ์ในร่างหุ่นยนต์" เท่านั้น


*********************************************

**หมายเหตุผู้เขียน ณ ปี 2552
เรื่องสั้นข้างต้น เกิดขึ้นในวันหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า เทคโนโลยีในปัจจุบันมันสามารถที่จะช่วยเราบริหารจัดการงานต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น อิส (IS: Intelligent Secretary) เป็นระบบที่ผมคาดว่าจะเป็นจริงได้ในอนาคต โดยคาดการณ์บนเทคโนโลยีปัจจุบัน เรามีโปรแกรมที่จะแจ้งเตือนเมื่อมีอีเมล์ใหม่ๆ เข้ามา เรามีระบบแจ้งเตือนนัดหมายล่วงหน้า เรามีระบบ voice recognition ที่สามารถจดจำและแยกแยะเสียงต่างๆ ได้ ระบบอ่านเอกสารเป็นเสียงคน พร้อมกับเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย หรือระบบ Unified Communication System ที่เชื่อมโยงระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ทั้งโทรศัพท์ อีเมล์ ฯลฯ จนไปถึงระบบการตรวจวัดสุขภาพผ่านเครื่องมือ หรือเซนเซอร์ในบ้าน รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ เป็นต้น

ถ้าทุกอย่างถูกรวมเข้าด้วยกันกับชีวิตประจำวันดังว่า "อิส" อาจจะเริ่มด้วยระบบเสียงที่สามารถสื่อสารกับเจ้าของผ่านโทรศัพท์มือถือ แล้วค่อยๆ พัฒนาต่อมาเป็นปัญญาประดิษฐ์ หรือ หุ่นยนต์แบบง่ายๆ แล้วในท้ายที่สุดก็เป็นหุ่นที่เหมือน "คน" จริงๆ ตามภาพยนต์หรือนิยายวิทยาศาสตร์ที่คุ้นเคย

ถึงเวลานั้นแล้ว ปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีแล้วละ

อยู่ที่ว่า "อิส" จะรู้สึกอย่างไรกับนายของหล่อนก็เท่านั้น

(เผยแพร่ครั้งแรก พฤศจิกายน 2552 / ปรุงใหม่ กรกฎาคม 2562)


March 11, 2018

เรียนจากหนัง > Forgotten (2017) ความทรงจำพิศวง - เราล้วนแต่เป็นเหยื่อ..จากใครล่ะ





เป็นหนังเกาหลีอีกเรื่องที่เผยแพร่ทาง Netflix เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ข่าวเล่าว่า แค่ Netflix เห็นบทร่าง ก็ขอทำสัญญาทันที ก็พอจะการันตีความน่าสนใจได้ระดับนึง

Forgotten เขียนบท และ กำกับโดย ฮันจุงชาง (Han Jun Zhang) เป็นเนื้อเรื่องแนวลึกลับ สยองขวัญ ในกลิ่นอาย เรื่องราวหักมุมแบบเกาหลี บนพื้นฐานของความสัมพันธ์คนในครอบครัว ตามเรื่องย่อๆ ดังนี้

จินซอก (คังฮานึล) นักเรียน ม.ปลายวัย 21 ที่กำลังรักษาอาการจิตหลอน เพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่พร้อมครอบครัว ที่เขาพบเสียงแปลกๆ จากห้องที่เจ้าของเดิมปิดไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่กี่คืนต่อมา พี่ชาย ยูซอก (คิมมูยอล) ก็ถูกลักพาตัวไป แล้วเมื่อเขากลับมาเมื่อ 19 วันหลังจากนั้น ยูซอก กลับจำอะไรไม่ได้เลย พร้อมกับพฤติกรรมแปลกๆ ไปจากเดิม ทำให้ จินซอก เองต้องเป็นฝ่ายที่ค้นหาความจริงที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะพบกับความสะพรึงกลัวของเรื่องราวที่ผ่านมา

เรื่องย่อที่แจ้งมา อาจจะทำให้บางคนเลือกที่จะปล่อยผ่านไปก็ได้ เนื่องจากกลิ่นมันจะคุ้นๆ กับหนังหลายๆ เรื่อง แต่ต้องบอกเลยว่า ถ้าดูได้จนจบ จะพบว่าเรื่องนี้มันเยอะมากกว่านั้น

เริ่มจากปมต่างๆ ที่ผู้กำกับได้วางไว้ เริ่มจากฝันร้ายของจินซอก ที่เขาไม่เข้าใจ กับภาพเหตุการณ์ที่เขาเหมือนจะเคยเจอมาแล้ว (เดจาวู) พร้อมกับเสียงที่เขาได้ยินเพียงคนเดียว จนถึงประเด็นหลักที่พี่ชายโดนจับไป และกลับมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง จนเมื่อความสงสัยมันเอ่อล้นต่อความจริง ที่คาดไม่ถึง ถึงเรื่องราวในอดีตของเขาและพี่ชาย เหล่านี้ พร้อมที่จะพาเรางุนงง และสับสนกับมุมที่หักไปมา จนเดาไม่ได้ว่า เออ.. เรื่องมันจะไปยังไงต่อน้อ

แต่อย่างไรก็ตาม หนังก็ไม่ได้พาเราออกอ่าวไทย ไปถึงอ่าวตังเกี๋ย โดยกลับมาคลายปมต่างๆ ที่ว่าไว้ จนจบทุกปม โดยมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ ทั้งในเรื่อง การสะกดจิต, กลไกการป้องกันตัว และการสืบสวน จนมาถึงจุดจบของโศกนาฏกรรมตัวละคร ที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองได้เลือกทำลงไป

หนังไม่ได้พูดถึงปัญหาในครอบครัวที่เกิดขึ้นจากตัวละครอย่างเดียว แต่หนังจะบอกว่า ไอ้ปัญหาที่ตัวละครคนทุกต่างเจอกันมานั้น มันเพราะพิษเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จากการที่เกาหลีโตเร็วเกินไป ในช่วงเวลานั้น (1997 หรือ 2540 เวลาเดียวกับที่ประเทศไทย เราเจอต้มยำกุ้งพอดี) และเพราะการตกต่ำอย่างหักหัวของเศรษฐกิจดังกล่าว ไม่ปราณี แม้ว่าจะรวยหรือจน นี่คือต้นเหตุหลักๆ นะครับ ซึ่งก็อดคิดถึงหนังอีกเรื่องที่เล่นกับวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ฉายก่อนหน้าไม่นาน "เพื่อน..ที่ระลึก" ไงครับ ที่เอาผลกระทบตรงนี้มาขยายเป็นเรื่องราวสยองขวัญอีกมุมหนึ่งเช่นกัน

ในความเป็นจริงแล้ว การฟื้นฟูจากปัญหาดังกล่าว ต้องชื่นชมว่า คนเกาหลีใต้เองก็สามารถรวมพลังกัน กอบกู้ตัวเองจากภาวะวิกฤตได้เร็วมาก โดยเปลี่ยนจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมแบบเก่า (ก่อสร้าง, เหล็ก, ปิโตรเคมี) มาเป็นอุตสาหกรรมใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนต์, ไอที, อิเลคทรอนิกส์, เกม ที่ช่วยให้กลับมายิ่งใหญ่จนทุกวันนี้

ครับ เหมือนบทความนี้ มันจะจบนอกเหนือจากหนังว่า คือ ชีวิตคนตัวเล็กๆ จะรอดได้ ก็ขึ้นกับผู้นำประเทศที่ดี นะครับ 

เอวังก็มีดื้อๆ ด้วยประการฉะนี้


(ก่อนจบก็ดูคลิปหนังตัวอย่าง ก่อนไปดูตัวจริงกันนะครับ)



September 19, 2017

เป็นเรื่อง > รักคงดันไม่ไหว (สร้างจากเรื่องจริง)



**************************************************

ทั้งที่เลยเวลานอนแล้ว ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันยังทำให้ข่มใจหลับไม่ไหว
เรื่องเดิมๆ ปัญหาที่เจอ นำไปสู่ความขัดแย้ง และ ลงท้ายด้วยการเมืองในสำนักงาน
แม้มั่นใจว่าเขาไม่ผิด แต่คลื่นปัญหาที่มากระทบ ก็ทำให้จุดยืนเขากระเพื่อมไปไม่ใช่น้อย
จนอดคิดไม่ได้ ว่ายังจะยืนหยัดมุ่งมั่นในเส้นทางสายลูกจ้างมืออาชีพต่อไปหรือไม่

หน้าต่างที่เปิดไว้ ให้อากาศเย็นในหน้าฝนได้แวะเข้ามาโลมเล้า พร้อมกับลมยะเยือกวูบหนึ่ง
เขาไม่ได้หูฝาด ในความเงียบสงัดของคอนโดชานเมือง เสียงเล็กแหลมแหบแห้งลอยมา ถึงห้องเลขที่ 666 นี้

"จะยอมแพ้แล้วเหรอ เหอะๆๆ ไหนว่า เหนื่อยแค่ไหนจะไปให้ได้ไง ฮา ฮ่า ฮ่า"

ไม่ทันที่ความสงสัยว่าเสียงของใครจะวิ่งไปถึงริมฝีปาก เสียงลึกลับกล่าวต่อ

"ไม่ต้องคิดจะหา แกมองไม่เห็นข้าหรอก หึ หึ รู้แค่ว่า ข้าเป็นคนที่ผ่านมาก็แล้วกัน ไอ้หนูเอ๊ย"

"แล้วลุงจะมายุ่งอะไรกับชั้นล่ะ" เขานั่งตัวสั่น พูดกับอากาศธาตุว่างเปล่าข้างหน้า เหมือนมีใครมานั่งคุยด้วย

"ถ้าไม่ไหว ไม่อยากไปต่อ แล้วเอ็งจะมีอะไรที่ทำได้ดีกว่านี้เรอะ"

นั่นสิ นอกเหนือจากงานที่เขาได้ลำบากลำบั่น เรียนจนได้ใบปริญญาตามที่พ่อแม่ต้องการแล้ว เขาจะทำอะไรได้อีกละ ลมเย็นๆ พัดพริ้วๆ ให้ภาพในอดีตปลิววนในความคิด ภาพเขาในครัวกับแม่ผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน

"ทำขนมไง ใช่ๆ ผมเคยบอกแม่ว่า ผมมีความสุขมากเวลาที่ได้อยู่ในครัว ทำขนมอร่อยๆ ให้พ่อกับแม่กิน" ความกลัวค่อยๆ จางลงเมื่อนึกถึงเรื่องในครั้งนั้น จากความอร่อยของขนมที่แม่ทำให้ทาน จนกลายเป็นความอยากรู้อยากเห็น พัฒนาไปถึงการขลุกในครัว นั่งเฝ้าอบขนมได้เป็นวันๆ เพื่อรอยยิ้มของพ่อแม่พี่น้องที่รอทานขนมต่างๆ ที่เขาทำขึ้นมา

"แกแน่ใจเหรอออ ว่าแค่นี้มันพอสำหรับที่จะเอาไปทำมาหากินได้แล้วน่ะ 555 ขำว่ะ ขอหัวเราะเป็นเลขห้าหน่อยนะ"

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะลุง ก็แค่ทำขนมที่เราชอบ ทำในสิ่งที่เรารัก ตามสูตรที่มี ทำให้คนที่เขาชอบเหมือนเรา กำไรไม่ต้องมาก แค่นี้ชั้นก็อยู่กับงานที่ชั้นมีความสุขได้ จะอะไรกันมากมาย" เขาพูดด้วยความมั่นใจ ถึงหนทางอันสดใสข้างหน้าที่เริ่มโชนแสง

"ตลกว่ะ แค่ทำขนมตามสูตรในเน็ตไม่กี่อย่างให้คนในบ้านกิน แล้วจะมีหน้ามาบอกว่า ทำอร่อยได้ยังไง คนพวกนี้เขาก็เออออ เพราะเอ็งเป็นลูกหลานเขาไง ถ้าแน่จริง ทำไมไม่ลองทำให้คนที่ไม่รู้จัก คนที่ไม่รักเอ็งได้ลองกินล่ะ ให้เขายอมรับแบบที่ต้องยอมจ่ายถวายเงินเพื่อให้ได้กินเลยสิ"

"แล้วไอ้ที่นั่งทำขนมไม่กี่ชิ้น ทำไปด้วยความรัก ใช้เวลาเป็นวันๆ นี่ก็ไร้สาระ ถ้าจะทำเพื่อหาเลี้ยงชีวิต ก็ต้องทำให้ได้ทีละสิบ ทีละร้อยชิ้นสิวะ ให้ได้เงินพอที่จะอยู่ต่อไปได้"

แค่สองประโยค ทำเอาความง่วงต้องลาไปนอนทันที ไอ้ผีตาแก่นี้พูดได้เจ็บ แต่มันก็ตรงใจ

"ไอ้หนู เอ็งพิสูจน์ง่ายๆ ก็ได้ เอาสูตรขนมที่มั่นใจแค่ 2 อย่าง ทำมาสักสองสามร้อยชิ้นนะ ขายแบบไม่ต้องหวังกำไร แล้วลองดูว่า คนที่เขาซื้อไปเขาจะว่ายังไงบ้าง ถ้าของมันอร่อยจริง เขาก็จะกลับมาพร้อมกับยอมจ่ายในราคาที่มันควรจะเป็น แต่ถ้าไม่ใช่ 555 ก็ไม่รู้สินะ"

ถึงแม้จะเดาสีหน้าออก หรือ เกลียดเสียงหัวเราะนี้แค่ไหน แต่สาระที่พูดมาเขาก็เห็นด้วยหลายส่วน

"หลังจากนี้ เอ็งก็จะรู้ตัวแล้วว่า ทางนี้มันใช่หรือเปล่า หรือว่า เราต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติมอีก หรือที่แย่ที่สุด ที่ข้าไม่อยากพูดแต่จำเป็นต้องเหลา คือ มันไม่ใช่แล้วเอ็งหลงเข้าใจผิดมาตลอดเพราะไอ้คนรอบข้างที่มันไม่อยากพูดความจริงไง"


ตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนปีศาจตนนี้กำลังยืนให้โอวาทอยู่ตรงหน้า เขาสงบนิ่ง คิดตาม

"เอ็งต้องพิสูจน์ พิสูจน์ความเชื่อของตัวเอง พิสูจน์ฝีมือในการทำขนมและการจัดการ พิสูจน์ให้คนรอบข้างรู้ว่า แค่ความรักมันดันชีวิตเราได้ไม่พอ มันต้องทุ่มเท ต้องยอมลำบาก เพื่อให้อยู่รอด ให้พวกเขาได้เห็นว่า แกยังมีขนมที่ทุกคนต้องยอมรับ ไม่ว่าจะรักหรือไม่รักเอ็งก็ตาม หึ หึ เป็นไง จบได้ดีไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า เขินตัวเองว่ะ"

ไอ้ผีชรานี่มันต้องบ้าแน่ๆ แต่มันบ้าจริงเหรอ หลักการถึงได้เยอะเยี่ยงนี้

"เอาล่ะ ข้าต้องไปละ ไม่ต้องตะลึง ไม่ต้องน้ำตา ไม่ต้องมาม่า สิ่งสุดท้ายที่ข้าจะบอกเอ็งนะ อย่ามัวแต่ฟังแล้วฝันหวาน ลุกขึ้นไปทำมันซะ ทำก่อน ล้มก่อน ไปถึงก่อน แล้วเอ็งก็จะสบายก่อน"

เขาหันซ้าย หันขวา เพื่อจะมองหาตัวตนของวิญญาณเร่ร่อนรายนี้ เพื่อขอบคุณจากใจจริง แต่เสียงที่เริ่มจะคุ้นเคยก็ค่อยๆ ลอยห่างออกไป ออกไป พร้อมกับลมเย็นๆ ที่พัดมาอีกครั้ง

"... 555 แต่ตอนนี้ ข้าก็ต้องลาก่อนนนนนนแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอให้โชคดี ไอ้หนู"

July 20, 2016

เรียนจากหนัง > Clown of a Salesman (2015) หัวเราะมิออก ร่ำไห้มิได้


ต้องยอมรับว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังเกาหลีคือ การวางพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ หยิบโน่นมุมโน้น มาตัดต่อติดกับนี่ในมุมนี้ กลายมาเป็นหนังสนุกๆ ที่ชวนชมอย่างไม่น่าเชื่อ

Clown of a Salesman หนังปี 2014 ของผู้กำกับ Jo Chi-eon ก็เช่นกัน โดยที่นำเรื่องราวของ สังคมผู้สูงอายุ (ผู้หญิง) และ งานขาย มาเชื่อมกัน ผ่านบทบาทการแสดงของ Kim In-kwon ในบทของ Il-Bum ชายผู้ที่พยายามอย่างหนักเพื่อครอบครัว, Park Cheol-min กับบทของผู้จัดการจอมเจ้าเล่ห์ และ Lee Joo-sil ในบทของ Ok-nim หญิงชราผู้โดดเดี่ยว ที่ต่างต้องมาพัวพันกันหลังจากที่ Il-Bum ต้องออกจากงานขับแท็กซี่ และมาเริ่มต้น แบบไม่มีทางเลือกกับงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ (หรือในหนังเรียกกันว่า “งานขาย”) ที่ต้องคอยดูแลเอาใจเหล่าหญิงสูงอายุให้สนุกสนาน เพื่อให้เธอซื้อสินค้าต่างๆ ของบริษัทที่มีราคาสูงเกินจริงเป็นการแลกเปลี่ยน เพื่อที่ Il-Bum จะสามารถหาเงินเพื่อไปรักษาลูกสาวที่ป่วยด้วย และเมื่อ Il-Bum ได้มาเจอกับ Ok-nim หญิงชราคุณแม่ดีเด่นแห่งชาติ ผู้มีลูกชายเป็นอัยการ แต่ตนเองต้องอยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงาในคอนโดเล็กๆ Il-Bum ก็เป็นตัวแทนของลูกชายที่ห่างเหินกับเธอได้ เหมือนกับเป็นแม่ลูกกันจริงๆ

ปมของหนังมาถึงจุดพีคที่ Il-Bum ต้องการใช้เงิน จนเขาต้องยอมพ่ายแพ้แก่ความโลภ นำความรู้สึกที่ดีของหญิงชรามาแปรเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ของตนเอง จนลงท้ายด้วยโศกนาฏกรรมในที่สุด

เมื่อหนังจบแล้ว สิ่งที่ให้เราได้คิดถึงมันต่อ อย่างแรกคือ คำเตือนต่างๆ จากกูรูทั้งหลายที่เตือนถึงอนาคตของชนชั้นล่าง ผู้ที่ไม่มีทักษะใดๆ ที่ตลาดต้องการ จะอยู่กันยากขึ้น ทั้งรายได้ ความมั่นคง และค่าใช้จ่ายที่น่ากลัวที่สุดคือ ค่ารักษาพยาบาล ซึ่งถ้าป่วยขื้นมาแล้ว บางครั้ง บางโรค ทำเอาเราแทบจะหมดตัวเลยทีเดียว ดังนั้น การวางแผนชีวิต หลีกเลี่ยงปัจจัยป่วย และสำรองค่าใช้จ่ายให้พอเพียงยามต้องการ น่าจะเป็นสิ่งแรกที่เราต้องสำนึกกันไว้

ประเด็นถัดมา คือ การคืบคลานเข้ามาของสังคมผู้สูงอายุ ที่เห็นได้ชัดเจนว่า อีกไม่นาน คนกลุ่มใหญ่จะต้องแยกตัวมา “แก่” อย่างเดียวดาย อย่างที่หนังจะย้ำกับเราสองสามครั้งว่า บางที “ความกตัญญู” ก็ไม่ขึ้นกับระดับการศึกษา หรือ ฐานะร่ำรวยใดๆ และด้วยเหตุผลนานาของลูกหลาน ที่สนใจแต่เรื่องของตัวเองจนลืมไปว่า เขาทิ้งขว้างพ่อแม่ผู้สูงอายุที่เป็นคน มีความรู้สึกเช่นกัน ไปไกลแค่ไหน ซึ่ง “ว่าที่ผู้สูงอายุ” ทั้งหลายก็คงอย่ามัวรอลูกหลาน ต้องเริ่มคิดวางแผนชิวิตไว้แต่เนิ่นๆ เช่นกัน

สุดท้ายสำหรับคนที่เกี่ยวข้องกับงานขายทั้งหลาย น่าจะได้เห็นรูปแบบการขายในแบบต่างๆ ที่ผู้จัดการได้พร่ำสอนเขา ตั้งแต่ การใช้ไม้นวมในการเกลี้ยกล่อมลูกค้า, การนำเสนอด้วยรูปแบบที่สนุกสนาน, ฉาบเคลือบด้วยความปรารถนาดี, บนชั้นเชิงของการนอบน้อมถ่อมตน, วางตัวเป็นผู้ที่คอยเอาใจใส่ยิ่งกว่าลูกหลานของตนเอง, ประกอบกับการเล่นละครให้กลุ่มเป้าหมายได้เห็นใจโดยไม่หวงน้ำตากันเลย, จนกระทั่งการใช้บทไม้แข็งในการข่มขู่ต่างๆ เพื่อให้ได้เงินมาที่สุด

ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ แม้ว่าบางอย่างจะเป็นสีเทาไปจนเกือบจะดำน่ารังเกียจ แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันก็คือเทคนิคการขายอีกแบบหนึ่งเช่นกัน แต่อยู่ที่ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขายจะยอมรับ และ ยอม “เปลี่ยนตัวตน” เพื่อผลประโยชน์ดังกล่าวได้แค่ไหน แล้วเรายังเหลือความภูมิใจในศักดิ์ศรีความเป็นคน ของเราอีกหรือไม่

ซึ่งเป็นคำถามที่ตัวละครก็ยังคงพร่ำถามตนเอง แม้ว่าหนังจะปิดฉากไปแล้วก็ตาม


* ชมตัวอย่างภาพยนต์จาก Youtube นะครับ

July 8, 2016

มองมุมเหม่ง - My JUMC is NEXT

 
โครงการ JUMC NEXT รุ่นที่ 11 ปิดฉากไป 7 วันแล้ว น้องๆ พี่ๆ ทั้งหลาย ก็คงปรับชีวิตไปอยู่ในวงจรปกติเช่นกาลก่อน แต่ทางผมเองก็มีบางอย่างที่อยากจะบันทึกไว้บ้าง (ท่าน ผอ. โตสิต ทวงมา)

ก่อนอื่น ต้องขอบใจน้องๆ ทุกคนครับ ที่เตรียม friendship เล่มนี้พร้อมกับความคิดถึง แม้จะไม่ครบทุกคน แต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของพวกเรา ขอบคุณนะครับ และขอโทษที ที่ภาพประกอบบันทึกนี้ ไม่สามารถเอามาลงได่้ทุกคน และขออภัยด้วยที่ทั้งโครงการ พี่ไปเจอพวกเราได้ 3-4 ครั้งเอง (อ๊าย..อาย เป็นถึง JUMC#0 แท้ๆ)

หลายสิ่งที่เป็นเบื้องหลังของ JUMC NEXT ต่างๆ นั้น หลายคนคงทราบไปบ้างแล้ว ก็ขอพูดถึงแนวคิดที่มาของ NEXT นี้ ซึ่งคงมี JUMC รุ่นอื่นๆ ยังสงสัยอยู่บ้าง

อย่างที่ทราบ JUMC เดินทางมาครบ 10 ปี พี่โตสิตก็มีความคิดที่ว่า เราต้องเปลี่ยนเพื่อหนีความสำเร็จของเราเอง ไม่ใช่อยู่กับที่เพื่อถอยหลัง หรือ รอให้คนอื่นๆ มาเปลี่ยน ซึ่งที่นี้คำว่า NEXT ก็มา

ในแง่ของ Branding, เรายกให้ JUMC เป็น Umbrella brand โดยมี NEXT, WoW เป็น brand ย่อย และจะง่ายต่อโปรแกรมอื่นๆ ที่จะมาอีกในอนาคต (ในมุมนึงก็มีความท้าทายที่ต้องทำให้ NEXT และ WoW เป็นที่รับรู้ของตลาด โดยไม่สับสนกับ JUMC เดิมในอดีต / ขอบใจทีม PR มากครับ ที่ทำตรงนี้ได้ดีทีเดียว)

ในแง่ของความต่าง เรากลับไปมอง concept เดิมที่เราเริ่มทำตั้งแต่วันแรก - ความรู้และเข้าใจเรื่อง MBA, DNA ของชาว JUMC (ที่ตกผลึกในรุ่นที่ 4-5) ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ และ กิจกรรมในรุ่น เราว่า เราทำได้ดีในระดับนึงแล้ว ซึ่งเมื่อทวนถามกับรุ่นหลัง การคัดเลือกยังคงเป็นการสอบ online เหมือนเช่นที่ทำตั้งแต่รุ่นที่ 1 

ตรงนี้ ที่เราแปลกใจมาก เพราะเมื่อถามให้ละเอียดแล้ว กรรมการหลายๆ รุ่นบอกว่า การสอบออนไลน์ มันดูไฮเทค ทันสมัย และง่ายในการคัดเลือก และเป็นเรื่องที่ทำต่อๆ กันมา 

ซึ่งเราต้องเฉลยให้น้องเข้าใจว่า ในยุครุ่น 1 นั้น JUMC เริ่มที่คน 3 คน เราจำเป็นต้องสมัคร Online เพื่อที่จะทำงานให้ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด แต่วันนี้เรามีน้องๆ มาช่วยมากกว่าเป็นสิบเท่า การคัดเลือกจึงต้องเพิ่มการสอบข้อเขียนเข้ามาอีกทางหนึ่ง เพื่อให้การคัดกรองเข้มข้นตาม DNA JUMC กว่าเดิม (และต้องการให้เห็นภาพของผู้สมัครที่แตะ 800 คน ว่าภาพจริงๆ มันอลังการแค่ไหน) แล้วก็เป็นส่วนของการสัมภาษณ์ที่เรากลับมาเน้นที่กรรมการ หัวข้อที่จะสอบถาม เพื่อให้มั่นใจว่า เราได้คนที่เหมาะสมจริงๆ

ในเรื่องของเนื้อหา หรือ การทำ Project เราก็เน้นและลงรายละเอียดกันทุกจุด เพื่อให้น้องๆ ได้สนุก และ เรียนรู้ไปด้วยกัน (ขอบใจน้องๆ กรรมการที่อดทน ต่อ comment ของพี่ๆ นะครับ)

ผลลัพธ์คือพวกน้องๆ JUMC NEXT#11 นี่ไงครับ

แต่ฝากถึงน้องๆ อีก 700 กว่าคนที่ไม่ได้มาเป็น NEXT#11 นะครับ (จริงๆ อยากรับหมดนะ 555) พวกเราไม่ได้ด้อยกว่า 88 คนนี้ เพียงแต่พวกเราอาจจะเตรียมตัวมาน้อยกว่า และบางมุมก็อาจจะยังไม่พร้อม ปีหน้าลองมาดูอีกทีนะ พี่จะรอ

หลังจากปิดโครงการแล้ว ผมเองในฐานะที่ปรึกษา และ คนนึงที่ได้เห็นโครงการนี้คลอดออกมา ก็มั่นใจว่า JUMC NEXT จะเดินทางไปต่อได้ (ขออีกทศวรรษละกัน) แล้วก็สนุกที่ต้องมาดูว่ามันจะเติบโตเป็นอย่างไร

สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณคณะพาณิชยศาสตร์ฯ จุฬาฯ, สมาคมนิสิตเก่า MBA, อาจารย์สมเกียรติ เอี่ยมกาญจนาลัย, กรรมการทุกท่าน และพี่โตสิต วิสาลเสสถ์ ที่ให้โอกาสผมในโครงการนี้ รวมถึงการสนับสนุนทุกๆ อย่างครับ

และที่ขาดไม่ได้ พวกเราไง JUMCers ตั้งแต่ รุ่น 1 ถึงรุ่น 11 ที่เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน

แล้วพบกันใหม่ เมื่อชาติต้องการ

May 31, 2015

แวะคิด แวะคุย > ขอลาอุปสมบทครับ


ถึงพี่ๆ น้องๆ เพื่อนฝูง และมิตรรักนักอ่านทุกท่าน

เนื่องด้วย กระผม นายบริคุณ ล้ำเลิศประเสริฐ (เหม่ง) มีศรัทธาที่จะอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ณ วัดอุทยาน ถนน นครอินทร์-พระราม ๕ อำเภอ บางกรวย จังหวัด นนทบุรี ตั้งแต่ วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ จนถึง ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔

การอุปสมบทครั้งนี้ เพื่อทดแทนคุณบิดามารดาและผู้มีคุณทั้งหลาย ทั้งขัดเกลากิเลสให้เบาบาง มีนิพพานเป็นที่สุด โดยกระผมจะตั้งใจปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กระผมจึงขออนุญาตกราบลาอุปสมบทต่อทุกท่าน ด้วยความเคารพและจริงใจมา ณ ที่นี้

หากที่ผ่านมา มีสิ่งใดที่บังเอิญได้ประมาทพลาดพลั้ง กระทำลงไป ทั้้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ทั้งโดยเจตนา และไม่เจตนา ล่วงเกินต่อท่านทั้งหลาย กระผมขออโหสิกรรมในการกระทำทั้งปวงนั้น ด้วยจิตสำนึกและความบริสุทธิ์ใจ จึงขอทุกท่านอโหสิกรรมให้แก่กระผมด้วยเถิด

กุศลใดที่เกิดจากการอุปสมบทในครั้งนี้ ขอทุกท่านได้อนุโมทนาผลบุญกุศล และขอจงดลบันดาลให้ผลบุญนั้น ส่งไปยังทุกท่าน รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวรทุกผู้ทุกนามในสากลโลก ขอจงมีความสุขความเจริญโดยถ้วนหน้ากันเทอญ

กำหนดการอุปสมบท วันจันทร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ (โดยประมาณ)
*************************************************************
๐๗.๐๐ - ปลงผมนาค
๐๙.๐๐ - เข้าอุโบสถ นำนาคไปอุปสมบท
๑๑.๐๐ - เสร็จพิธี ถวายภัตตาหารเพล แด่พระสงฆ์
๑๒.๐๐ - แขกและเจ้าภาพรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน (โต๊ะจีน)
************************************************************

พร้อมกันนี้ กระผมขอแนบแผนที่เส้นทางไปยังวัดอุทยาน มาด้วยแล้ว
จึงขอเรีียนเชิญทุกท่านมาร่วมทำบุญในวันงานด้วยกันครับ

January 14, 2015

วันพ่อของผม - 14 มกราคม



ผมเองก็เป็นคนหนึ่งเหมือนกับหลายๆ คนในประเทศนี้ที่รับทราบและร่วมเฉลิมฉลองวันพ่อ ในเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยก็เตือนให้เรานึกถึงคุณความดีของพ่อเราที่ผ่านมา

แต่เมื่อผมโตขึ้นและเริ่มการถางทางสร้างครอบครัวของเราเอง ทำให้มุมมองความเป็นพ่อเริ่มเปลี่ยนไป

14 มกราคม 2551 - มันเป็นวันจันทร์ปกติที่ผมต้องไปประชุมแผนธุรกิจที่ต่างประเทศ ทิ้งภรรยาที่รักกับลูกน้อยในท้องอายุ 8 เดือนกว่าๆ ไว้โดยไม่คิดอะไร เพราะวันเสาร์ที่ 12 คุณหมอเพิ่งบอกว่ากำหนดคลอดน่าจะประมาณปลายเดือน

4 โมงกว่าๆ มีสายจากประเทศไทยว่า ภรรยาคลอดเรียบร้อยแล้ว เด็กแข็งแรงดี เป็นผู้หญิงหน้าตาเหมือนผมเด๊ะๆ เรามอบชื่อ "ฮานะ" ให้เธอด้วยความภาคภูมิใจ

น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ทั้งเขาและแม่ในตอนที่เขาออกมาดูโลก และกำหนดการเดินทางก็อีกสัปดาห์กว่าจะได้กลับเมืองไทย ใช่เลย...มันเป็นความทรมานที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลย

แต่เวลาก็ดำเนินไปตามปกติของมัน ผมกับภรรยาก็เฝ้าเลี้ยงดู "เจ๊ฮา" ให้เติบโตขึ้นมาด้วยความตั้งใจและพยายามที่สุด จนถึงวันนี้ ผมก็ยังไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็น "พ่อที่ดี" หรือยัง

อย่างนึงที่กล้าพูดได้เลยคือ ผมได้เรียนรู้ "การเป็นพ่อ" จากเธอเยอะมาก เรียนรู้ที่จะเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งความคิดและการกระทำ เรียนรู้ที่จะเป็นทั้งพ่อ พี่ เพื่อน หรือในบางครั้ง ก็ต้องเป็น "ลูกมือ" ของเธอในการทำโปรเจคต่างๆ ที่เธอสนใจ

วันนี้ การเรียนรู้ก็ยังไม่สิ้นสุด แต่อย่างน้อยผมก็ชัดเจนในความหมายของการเป็น "พ่อ" และพูดได้เลยว่า สำหรับผมแล้ว "วันพ่อ" ของผม..

มันเริ่มต้นเมื่อ 14 มกราคม 2551 ที่ผ่านมานี่เอง

สุขสันต์วันเกิดนะครับ ลูกรัก ขอให้จดจำสิ่งต่างๆ ที่ป่าป๊าได้แนะนำไว้ และนำไปใช้เพื่อให้เราได้อยู่อย่างมีความสุข เป็นที่พึ่งและที่รักของคนรอบข้างนะครับ

ขอบคุณทั้งเราและม่าม้าเราอีกครั้ง

ป่าป๊าเหม่ง


December 22, 2013

มองมุมเหม่ง > บนถนนของมืออาชีพ - การจัดการกับความขัดแย้ง

(ถ้าชาติที่แล้วมีจริง ผมเองอาจจะเคยเกิดเป็นกรรมการห้ามมวยมาก่อน กรรมการห้ามมวยที่คอยเข้าไปแยกฝ่ายแดง ฝ่ายน้ำเงิน พร้อมกับคำแนะนำที่รับได้ทั้งสองฝ่าย แถมมากับลูกหลงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยที่ไม่สามารถคิดค่าใช้จ่ายกับฝ่ายใดได้)

ประสบการณ์ที่อยู่ระหว่างความขัดแย้งต่างๆ นั้น ถ้าจะถามว่า ถ้าเราได้รับเลือกให้เป็นคนกลางดังกล่าว เราจะบริหารจัดการกันอย่างไร ซึ่งถ้าจะพูดถึงสิ่งที่เจอมา ก็พอจะสรุปได้ว่า

- การเก็บข้อมูล > ข้อเท็จจริง เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ถึงที่มาที่ไปของปัญหา อย่ามองข้ามประเด็นเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะมองข้าม เพราะในความขัดแย้งนั้น บางทีเป็นเรื่องของความรู้สึกที่มีหลักการและเหตุผลต่างๆ มาบังหน้า และ ข้อมูลต่างๆ ดังกล่าวที่รวบรวมมา ต้องระวังอย่าให้ความคิดเห็นส่วนตัวมาทำให้เราไขว้เขวด้วย

- การวิเคราะห์ > เมื่อได้ข้อมูลแล้ว (ไม่มีทางที่คุณจะได้ข้อมูลอย่างครบถ้วนหรอกครับ แค่มากที่สุดเท่าที่เวลา ความสามารถจะอำนวยก็ดีแล้ว) คุณอาจจะต้องใช้เวลาเรียบเรียง ทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไป ตัวละครทั้งหมด ข้อขัดแย้ง และ ความต้องการของแต่ละฝ่าย

- แนวทางหาข้อสรุป > เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ อาจจะต้องมีการเผชิญหน้ากัน ซึ่งในฐานะคนกลางอย่างคุณ การรักษาบรรยากาศอย่างเป็นกันเอง ถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการที่จะจัดการกับความขัดแย้ง และเมื่อการหารือเริ่มต้น คุณอาจจะเริ่มจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ความเป็นมาคร่าวๆ และแนวทางที่จะสรุป ซึ่งทางออกที่เลือกนั้น ต้องให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่า ต่างฝ่ายต่างก็ Win-win ซึ่งเป็นจุดที่ท้าทายคนกลางอยางยิ่ง ทักษะต่างๆ ทั้งการเปลี่ยนมุมมอง ความคิดสร้างสรร ฯลฯ เหล่านี้จะต้องมีการฝึกฝนเพื่อนำออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสมที่สุด การฝึกฝนดังกล่าวยังขึ้นกับบุคลิกภาพภายนอกของคุณด้วยครับ

- การติดตาม > เมื่อได้ข้อสรุป แนวทางที่จะตัดสินปัญหาแล้ว บทบาทคนกลางในการติดตามผลให้เป็นไปตามข้อตกลงอาจจะต้องมีอยู่ จนกว่าจะมั่นใจได้ว่า ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

- บทบาทของคนกลาง > บางครั้ง การเป็นคนกลางก็มีแต่เสมอตัวกับโดนด่า ซึ่งต้องขอบใจทุกท่านที่เสียสละเพื่อลดความขัดแย้ง (อันมีมากมายในโลกนี้) ซึ่งถ้าจบแบบไม่แฮปปี้ เนื่องจากการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ต่างๆ ไม่ถูกต้อง ความขัดแย้งก็ยังอยู่ ซึ่งการเจรจาครั้งใหม่นั้น จะยากยิ่งกว่าเดิม หรือ คุณอาจจะไม่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นคนกลางอีกครั้ง ดังนั้น ถ้าคุณได้รับเลือกให้เป็นคนกลาง คุณต้องมั่นใจว่าคุณ "เป็นกลาง" จริงๆ และไม่มีส่วนได้เสียใดๆ กับทั้งสองฝ่าย

เส้นทางนี้ อาจจะไม่ราบรื่น และต้องเจอปัญหาต่างๆ มากมาย อย่างไรก็ดี บางครั้งผลที่เราจะได้รับ อาจจะไม่ใช่ผลตอบแทนในรูปเงินทอง แต่เป็น "ความนับถือ" หรือ "การยอมรับ" ที่มีค่ามากกว่ายิ่งนัก

December 4, 2013

พรุ่งนี้วันพ่อ - บางอย่างที่ทำได้เพื่อลูก

พรุ่งนี้วันพ่อ - ตอนนี้เรามีลูกเป็นของเราเองแล้ว ระหว่างที่เฝ้าดูเขาเติบโตขึ้นมา หลายสิ่งหลายอย่างมันอดเปรียบเทียบกันไม่ได้ เรื่องการเรียนก็เหมือนกัน

พ่อโตมากับ มานี ชูใจ มานะ ปิติ เขาเป็นเพื่อนที่ดีของพ่อจนถึง ป.6 ทำให้พ่อหน้าจีนคนนี้ พูดไทย อ่านไทย ได้ชัดเจน ทำให้พ่อได้รู้จักและเข้าใจความหมายของคำว่าเพื่อน เข้าใจโลกกว้าง ต่างจังหวัด ฯลฯ ที่ไม่มีในกรุงเทพฯ บ้านเรา

ซึ่งเสียดายที่พวกเขาต้องหายไปเมื่อปี พ.ศ. 2537 แต่โชคดีที่วันนี้พ่อตามหาพวกเขาเจอแล้ว ไม่เปลี่ยนกันไปเลย ผิวพวกเขาอาจจะคล้ำไปบ้างตามกาลเวลา

พ่ออยากให้ลูกได้รู้จักเขาบ้างนะ ให้โอกาสเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของเพื่อนๆ ชาวต่างชาติของลูก แนะนำให้เขารู้จักกับ คิดตี้ เบนเท็น เทเลทัปปี้ โดเรมอน มินนี่ มิกกี้ ฯลฯ และได้เรียนรู้ ได้สนุกด้วยกัน

ขอบคุณ คุณครูเชียงรายดอทเน็ต มากๆ ครับ

ลองดูกันนะ

จาก พ่อ..ที่อยากดีกว่านี้

ดาวน์โหลด หนังสือเรียนภาษาไทย มานะ มานี ปิติ ชูใจ ทั้ง 12 เล่ม ฟรี

July 1, 2013

มองมุมเหม่ง > คน ค้น คน (Human Resource Management)




ช่วงชีวิตของการเป็นลูกจ้างมืออาชีพ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว เริ่มจากลูกน้องตัวเล็กๆ หัวหน้าตัวกลางๆ จนมาถึงหัวเรือตัวท้วมๆ อย่างทุกวันนี้ สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า "ไม่ง่าย" ในชีวิตมืออาชีพ คือ การบริหารจัดการ "คน" ครับ

ในวันที่เราเป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตของคนอีกหลายๆ คนที่เต็มใจ (และตกกระใจพลอยโจน) มาทำตามสิ่งที่เราต้องการนั้น ก็จะมีเรื่องที่ต้องมองกันต่ออีกหลายกรณีดังนี้

กรณีแรก คือ การบริหารจัดการคนที่มีอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาอาจจะอยู่กันมานานก่อนที่เราเข้ามา ซึ่งเราคงต้องมาวิเคราะห์ ประเมินคนเหล่านี้ก่อนว่า พื้นฐานความรู้ ความสามารถของเขาแต่ละคนเป็นอย่างไร สอดคล้อง ส่งเสริมเป้าหมายของบริษัทหรือไม่ แตกต่างจากคนอื่นๆ หรือเปล่า ควรจะเก็บไว้หรือปล่อยไปดี

เมื่อประเมินฝีมือกันแล้ว ก็มาดูในเรื่องของ EQ กันต่อว่าเขามีทักษะร่วมงานกับคนอื่นๆ เป็นอย่างไร ถึงขั้นนี้แล้ว เราก็จะเริ่มปวดหัว เพราะพวกฝีมือดีๆ หลายคนอาจจะทำงานขัดใจกับคนอื่นๆ ส่วนคนที่ใครๆ ก็รักนั้น มักจะไม่ใช่ตัวเลือกแรกของเรา การวิเคราะห์ตรงนี้จะช่วยเราในการวางแผนการจัดสรรงานให้ทีมเบื้องต้นได้ครับ

หลังจากนั้น สิ่งที่ต้องคิดต่อคือ เราจะพัฒนาทีมของเราต่อไปอย่างไร อนาคตปีหน้า, 3 ปี, 5 ปี พวกเขาจะเติบโต รับผิดชอบอะไรกันบ้าง ซึ่งคนที่เป็นหัวหน้าต้องวางแผน “ร่วม” กับเขานะครับ (เคยมองมุมนี้เกี่ยวกับการเป็นหัวหน้าในตอน “คนที่ใช่ ในที่ที่ถูกต้อง”
 http://mengmory.blogspot.com/2009/11/right-man-in-right-place.html) ช่วยให้เขามีอนาคตที่ดีในแบบที่เขาต้องการ แต่ก็เป็นแนวทางที่บริษัทจะไปด้วย อย่างนี้ถึงจะเรียกได้ว่าหัวหน้าคนนั้น “สอบผ่าน” ครับ

กรณีที่สอง คือ การหาคน “ใหม่” มาเสริมทีมครับ เรื่องนี้จะว่าง่ายก็ไม่ยาก จะว่ายากก็ไม่ง่าย หลายๆ บริษัทมักโบ้ยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคล แต่ที่จริงแล้ว ตัวหัวหน้าเองควรจะมีส่วนมากถึงมากที่สุดครับ เพราะผลลัพธ์ของเขา ก็คือผลงานของท่านนั่นเอง

การหาคนใหม่นั้น ง่ายที่สุดคืออ้างอิงรายละเอียดงานที่ต้องรับผิดชอบ จะเรียกกันว่า Job Description, Job Specification หรืออะไรก็ตาม ที่น่าแปลกใจคือบางบริษัทไม่มี หรือ ที่มีก็เป็นการลอกเขามา เขียนให้กว้างๆ เข้าไว้ ทำให้ฝ่ายบุคคลเองก็ทำงานลำบาก และ เสียเวลาในการหาคนที่ใช่จริงๆ ดังนั้น ตัวหัวหน้าเองจะต้องเป็นคนกำหนดรายละเอียดตรงนี้ให้ชัดเจนที่สุด

หลังจากนั้น เมื่อมีผู้สมัครเข้ามาให้เราคัดเลือก ตรงนี้ก็ไม่ง่ายอีกที่เราจะอ่านใครๆ ภายในเวลา 30-60 นาที (เวลาโดยเฉลี่ยในการสัมภาษณ์งาน) ถ้าเจอผู้สมัครที่เก๋าเกมส์หน่อย เขาสามารถตอบคำถามเพื่อสร้างความประทับใจลวงตาได้ไม่ยาก ตรงจุดนี้ ก็ขึ้นกับความเก่ง หรือ ประสบการณ์ของผู้สัมภาษณ์เองที่จะอ่านได้มากน้อยแค่ไหน แต่เชื่อหรือไม่ หลายๆ แห่งเอง ไม่เคยมีการอบรม “ทักษะการสัมภาษณ์” เหล่านี้ให้กับพวกหัวหน้างานเหล่านั้นเลย จะว่ามันไม่มีหรือไม่สนใจก็แล้วแต่ ปล่อยไปตามยถากรรมที่สร้างมาของแต่ละคน ซึ่งก่อนสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ก็ควรจะเตรียมตัวกันก่อน ว่าคนที่เราต้องการนั้น ควรจะมีคุณสมบัติอย่างไร องค์ประกอบอื่นๆ ด้านชีวิตส่วนตัว ประสบการณ์ในอดีต ที่จะเสริมให้งานก้าวหน้านั้นเป็นอย่างไรบ้าง เหล่านี้ต้องมีโครงคำถามไว้คร่าวๆ แล้ว ยิ่งถ้าเป็นระดับผู้บริหารด้วยแล้ว ทักษะบางอย่าง เช่น การเป็นผู้นำ การวิเคราะห์ปัญหา ทัศนคติการมองปัญหา ฯลฯ ก็จำเป็นมากขึ้นไปอีก

เมื่อเจอคนที่คิดว่าใช่แล้ว ถัดมาก็เป็นเรื่องการเตรียมตัวพนักงานใหม่ให้เขาอยู่กับเราให้ได้ ซึ่งก็ขึ้นกับความชัดเจนของงานที่จะให้เขารับผิดชอบ สิ่งที่บริษัทคาดหวัง รวมถึงผลตอบแทนต่างๆ ที่เขาจะได้ เหล่านี้ต้องสื่อสารให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้เริ่มงานกันอย่างเต็มที่และสบายใจ

หวังว่ามุมมองเหล่านี้ น่าจะพอเป็นประโยชน์ให้กับหัวหน้างานทั้งหลายให้ประสบความสำเร็จกันทุกคนครับ