เทวดานางฟ้า
บินมาอวยพรนอนฝันดี
เติบใหญ่ใจงดงาม
********************
ถ้าพูดถึงการเล่านิทานก่อนนอนแล้ว ไม่แน่ใจว่าเด็กสมัยนี้จะรู้เรื่องกันบ้างหรือเปล่า เพราะว่าเป็นความบันเทิงแบบดั้งเดิมที่พ่ายแพ้ให้แก่ทีวี กระทั่งถึงอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีความพยายามของพ่อแม่ยุคใหม่ และผลการวิจัยว่าสามารถทำให้เด็กเล็ก (ตั้งแต่ในท้องจนกระทั่ง 6 ขวบ) ได้มีโอกาสสัมผัสคำว่า “อัจฉริยะ” กับเขาบ้าง
ผลการวิจัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ความเข้าใจเดิมที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังก่อนนอน เพื่อให้ลูกๆ ได้ซึมซับการใช้ภาษา สร้างเสริมจินตนาการนั้น อาจจะยังไม่ "ดี" พออย่างที่คิด
กลุ่มนักวิจัยจาก UCLA แนะนำว่า พ่อแม่สามารถพัฒนาลูกๆ ได้มากกว่านั้น โดยการที่ให้ลูกๆ ได้มีส่วนร่วมในการพูดคุยกับพ่อแม่ด้วย ซึ่งจะทำให้พัฒนาการของเขาเร็วขึ้นกว่าเดิม
งั้นเราลองมาดูกันไหมครับ ว่าจะทำอย่างไรกันได้บ้าง เริ่มจากนิทานทั่วๆ ไป เช่น เทพนิยายกริมส์ (หนูน้อยหมวกแดง, ซินเดอเรลล่า, สโนว์ไวท์) หรือ เอาแบบไทยๆ ก็ได้ (ถ้าพ่อแม่ยังพอจำได้อยู่) เช่น โสนน้อยเรือนงาม, ปลาบู่ทอง
เมื่อเราเล่าไปแล้ว อาจจะหยุดเป็นระยะ แล้วลองตั้งคำถามเพื่อสอดแทรกแนวคิดอื่นๆ หรือดูความเข้าใจของเขา เช่น
- "เราคิดว่าหนูน้อยหมวกแดง เดินไปในป่าคนเดียวจะดีไหมคะ" (ระมัดระวังในการเดินทาง)
- "สโนว์ไวท์ รับแอปเปิ้ลจากคนแปลกหน้าได้หรือเปล่าเอ่ย" (รับของจากคนแปลกหน้า)
การที่เราอ้างอิงจากนิทานที่มีอยู่แล้ว ก็สะดวกสำหรับพ่อแม่ และดึงความสนใจได้ดีกว่าเพราะเป็นสิ่งที่ "รู้ๆ" กันแล้ว แต่กรณีถัดมา เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่ "แนว" และมีพลังจินตนาการเหลือเฟือ โดยนิทานที่เล่านั้นจะแต่งขึ้นมาเอง อาจจะเป็นเรื่องหลุดโลก แฟนตาซี หรือ พ่อกับแม่นำเรื่องราวในชีวิตประจำวันมาผูกเรื่องเล่าเป็นนิทานให้ลูกฟัง เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจการใช้ชีวิตและโลกของผู้ใหญ่มากขึ้น โดยอาจลดทอนให้เรียบง่ายแต่ยังคงไว้ซึ่งจินตนการที่ต้องการ
หรือจะท้าทายกว่านั้น ให้การเล่านิทานของเรา เป็นเกมส์อีกอย่างหนึ่งระหว่างพ่อแม่และลูกก่อนนอน เช่น ให้ลูกกำหนดคำขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วให้พ่อแม่ผูกเป็นเรื่องขึ้นมา โดยให้เขาได้มีส่วนร่วมในการกำหนด "ชะตากรรม" ของเรื่องนี้ด้วย ซึ่ง ก็มีหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นหนังสือ "เบสท์เซลล์เลอร์" ไปในที่สุด เช่นเรื่อง "ปิ๊ปปี้ ถุงเท้ายาว" (Pippi Longstocking) ของ แอสทริด ลินด์เทรน ที่มียอดจำหน่ายกว่า 15 ล้านเล่ม หรือ "ช้างน้อย บาบาร์" (Babar The Elephant) ของ เซซิล เดอบรันฮอฟฟ์ ที่กลายเป็นภาพยนต์ในที่สุด สดกว่านั้น ก็กรณีของ ไคลฟ์ วู้ดดอล ที่เขียนนิทานก่อนนอนเพื่อเล่าให้ลูกฟัง เรื่อง "บินสุ่ฝัน" (One for Sorrow, Two for Joy) ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนกพันธุ์ต่างๆ จนติดอันดับหนังสือขายดีของอเมซอน และตอนนี้ไปรอเป็นหนังของวอลต์ ดิสนีย์ ด้วยราคาลิขสิทธิ์ 1 ล้านเหรียญแล้ว
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็เพื่อพัฒนาการของลูกเรา ที่พ่อแม่ต้องทุ่มเทและเอาใจใส่ ปัญหาอย่างเดียวที่นึกออกตอนนี้ก็คือ...
นิทานสนุกซะจนไม่ได้นอนกันทั้งพ่อแม่ลูกก็เท่านั้น
No comments:
Post a Comment