อยู่ไปไม่พึงใจ
ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัว
ที่กลัวเพราะไม่รู้
*******************
ได้รับรีเควสท์ (Request) จากคนคุ้นเคย มิตรรักแฟนเพลงให้ลองเสนอมุมมองเกี่ยวกับ “ทนอยู่” กับ “อยู่ทน” ให้หน่อยว่า นายเหม่งจะมองมันยังไงได้บ้าง
ครับ ก็สนุกดีที่จะได้ “โจทย์” จากคนอ่านมาช่วยจุดประกายความคิด ในภาวะยุ่งๆ หัวสมองตีบตันอย่างนี้
ถ้าฟังเผินๆ คนเรามักจะรู้สึกดีกับวลี “อยู่ทน” และมองภาพในแง่ลบนิดๆ กับคนที่ “ทนอยู่” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน หรือเรื่องใดๆ ภาพของคนที่ “อยู่ทน” นั้น เป็นภาพของคนที่อดทน มีความรัก ความพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ ปรับตัวได้ในสภาวะต่างๆ
ต่างกับภาพของคนที่ “ทนอยู่” ที่มักจะเป็นเรื่องอึดอัดใจ จำยอมกับสิ่งที่เป็น ไม่มีหนทางไป เหม็นเปรี้ยวกับชีวิตไปวันๆ ส่งผลต่อคนรอบข้างในแง่ลบไปทั้งหมด ซึ่งเขาก็มีเหตุผลของเขา ซึ่งบางทีก็เข้าใจได้บ้าง ไม่ได้บ้างตามพื้นฐาน อัตภาพความคิดของคนฟัง เหล่านี้มักลงท้ายด้วยความเห็นใจ ปลอบใจ แกมงงงง พร้อมกับคำถามที่ว่า “แล้วจะทนไปทำไมว่ะ??”
ลองมาคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว คนทั้งสองแบบนี้ ล้วนไม่ต่างกันกับสิ่งที่เขาเลือกนะครับ ทั้งสองคนต่างก็อยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป
แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ วิธี “มอง” ปัญหา และ “ทัศนคติ” ที่จะอยุ่กับมัน ครับ
คนที่ “อยู่ทน” นั้นจะมีวิธีมองปัญหา หรือ สภาพแวดล้อม อย่างสร้างสรร ยอมรับความเป็นจริงได้มากกว่า ยกตัวอย่างเพื่อนร่วมงานผมหลายๆ ท่านที่อยู่กับบริษัทมาจนได้โล่ได้ทองมาเต็มบ้านนั้น เขาเข้าใจสภาพของการแข่งขัน หัวโขนในการขึ้นลงของตำแหน่งต่างๆ รวมถึงการเข้ามาแลจากไปของหัวหน้าชาวต่างชาติ
แต่คนที่ “ทนอยู่” นั้น จะยึดติดกับสภาวการณ์ในตอนนั้นเกินไป ไม่ได้มองถึงผลกระทบ ประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดมาก่อน และแนวโน้มที่จะเป็นไปในอนาคต ทำให้อดทนไม่ได้ จนบางทีก็ด่วนตัดสินใจหุนหันกันอย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น ถ้าเริ่มรู้ตัวว่า เรากำลังจะกลายเป็น “ทนอยู่ แมน” และยอมไม่ได้ขนาดนั้น ก็ต้องมานั่งวิเคราห์กันว่า ในปัญหา หรือ สถานการณ์เหล่านั้น มี “มุมบวก” อะไรบ้าง ถ้าเป็นเรื่องของบุคคล เราลอง “สวมหมวก” ใส่ความรู้สึกของเขาบ้าง ว่าทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้น แล้วเรา “ยึดติด” อะไรเกินไปหรือเปล่า การสื่อสารระหว่างบุคคลเป็นอย่างไร เราต่าง “พูด” ตามที่เราคิด หรือเรา “เห็น” คนอื่น ตามภาพที่เรา “คิด” หรือเปล่า
หรือถ้าเป็นเรื่องงาน บางทีต้องกลับไปมองวัตถุประสงค์ที่เราต้องการเดิมว่า ระหว่างทางที่เดินมา เราเขวออกนอกทางไปหรือไม่ ลืมไปหรือเปล่าว่าเราต้องการอะไร หรือว่าวิธีการทำงานที่ออกแบบไว้มันไม่เอื้อต่องานนี้หรือเปล่า ที่พบเห็นส่วนใหญ่ อาจจะเป็นเพราะทำงานกันตาม “ความเคยชิน” ที่ทำต่อๆ กันมา โดยไม่รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว
เชื่อได้ว่า ถ้าหากเราลองหยุดที่จะไตร่ตรองปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แล้ว พวกเราจะ “อยู่ทน” กันมากกว่านี้ครับ
No comments:
Post a Comment