September 30, 2012

มองมุมเหม่ง > คำคิด คำคม



 
Everyone hears what you say. 
Friends listen to what you say. 
Best friends listen to what you don't say. 

(Anonymous)

***************************************
พูดไปใครก็รู้
แต่เพื่อนเข้าใจเมื่อได้ฟัง
มิตรแท้ ไม่ต้องเอ่ย

(ไฮกุ - 30 กันยายน 2555)

***************************************

Only a minute to like someone,
Just an hour to have a crush on someone 
Only a day to love someone, 
But it takes a lifetime to forget someone.

(Anonymous)

ชอบทันทีที่เห็นเจ้าคนงาม 
แค่ชั่วยามผันผ่านพาลแอบฝัน
รักลงลึกสุดใจในข้ามวัน
แต่ลืมกันไม่ลงตราบจนตาย

แค่นาทีก็รู้ว่าเริ่มชอบ
กับคำตอบมอบใจในชั่วยาม
แค่วันเดียวรักได้ไม่ต้องถาม
อยากลืมนามตราบตายก็ไม่ลืม

 (กลอนแปด - 30 กันยายน 2555)


***************************************

August 2, 2012

เป็นเรื่อง > ระยะห่าง ระหว่างใจ (Between Us)


เย็นวันหนึ่งของต้นฤดูฝน ณ ร้านกาแฟชื่อฝรั่งสัญชาติไทย กลางใจเมือง บาริสต้าวัยกลาง 30 มองไปรอบๆ ร้าน ปลายเดือนอย่างนี้ กลับมีลูกค้าเพียง 2-3 โต๊ะเท่านั้น โต๊ะอื่นๆ ก็เป็นไปตามปกติ เพียงโต๊ะคู่รักมุมร้านที่ดูเหมือนเวลารอบๆ ตัวทั้ง 2 จะหยุดมาชั่วขณะแล้ว

************************************************************

"กลับมากรุงเทพฯ คราวนี้ ไม่คิดจะเจอกันเลยเหรอ" หญิงสาวถามขึ้นมาเสียงตัดพ้อ
"เปล่า ก็ยังยุ่งๆ อยู่น่ะ เที่ยวนี้งานเยอะ" ชายหนุ่มตอบพลางหลบสายตา หยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้ง

"แม้แต่โทร ก็ไม่มี ดุล คิดว่าตอนนี้ระหว่างเรามันเป็นยังไง" 
"ก็บอกแล้วไง ว่าผมยังยุ่งๆ อยู่ ตั้งแต่ย้ายงานมา ก็มีปัญหาตลอด ผมเองก็ต้องการเวลา "ส่วนตัว" ของผมบ้างสิ"

เงียบกันไปชั่วขณะ แววตาของหญิงสาวที่จ้องมองชายหนุ่ม เหมือนไม่คล้ายคนที่เคยรักกันมา ผู้ชายคนนี้นะเหรอ ที่เธอเคยคิดที่จะสร้างอนาคตไว้ด้วยกัน คนที่เคยคุยกันได้อย่างไม่รู้เบื่อทั้งวันทั้งคืน แต่ตอนนี้คนที่นั่งต่อหน้าเธอ เหมือนใครที่เธอไม่เคยรู้จักเขาเลย

เงียบกันไปชั่วขณะ แววตาของชายหนุ่มที่เหลือบมองหญิงสาว หญิงสาวที่เขาคิดว่ารู้จักดีที่สุด ผู้หญิงคนนี้นะเหรอ ที่เขาจะไว้ใจ เป็นคู่คิด เป็นที่ปรึกษาในยามที่เขาต้องมุ่งมั่นบากบั่นไปข้างหน้า หลายเดือนที่ผ่านมามันทำให้เขาไม่แน่ใจ ว่าที่เห็นมานั้น เป็นสิ่งที่เธอเป็น หรือ แค่การแสดงฉากนึง

"ดุลบอกแอนมาตรงๆ เลยได้ไหม ว่า ดุลจะเอายังไง" เธอพยายามที่จะเลี่ยงไม่พูดถึงคำๆ นั้น

เขาถอนหายใจ เหมือนจะพยายามไตร่ตรองทุกคำพูดอย่างดีที่สุด "อืม ผมคิดว่าเราน่าจะห่างกันสักพัก เพื่อต่างคนต่างจะได้ทบทวนอนาคตของเรากันอีกที"

เหมือนจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ปลิวมาโดนจุดระเบิดของอารมณ์ หญิงสาวถึงกับขึ้นเสียงสูง "ทบทวน ทบทวนอะไรอีกล่่ะ ดุล นี่เราคบกันมาจะ 5 ปีแล้วนะ แอนยังไม่รู้เลยว่า ดุลวางแผนในอนาคตไว้ยังไง เราจะแต่งงานกันเมื่อไร แล้วเรื่องบ้านล่ะ ดุลจะคบกันไปแบบนี้เรื่อยๆ เหรอ เห็นแก่ตัวมากเลยนะ" 

เช่นเดียวกับหญิงสาว เมื่อความพยายามที่จะรอมชอมไม่เป็นผลสำเร็จ ความรู้สึกที่แท้จริงจึงได้พุ่งสวนออกมาเช่นกัน "เห็นแก่ตัวอะไรเล่า แล้วสิ่งที่คุณทำหลายๆ เดือนที่ผ่านมาเนี่ย คุณคิดว่าผมไม่รู้เรื่องเหรอ ที่ทุกวันนี้ผมต้องลำบากกว่าเมื่อก่อน ก็เพราะเรื่องงานของคุณ กับไอ้แก่หัวงูนั่นแหละ"

หญิงสาวถึงกับนิ่งอึ้งกับคำพูดของฝ่ายชาย อ๋อ นี่เองเหรอ สาเหตุที่เขาเปลี่ยนไป ทำไมเขาถึงคิดไปได้ขนาดนั้นนะ รู้มั้ย ชั้นยอมลำบากย้ายงานมาที่นี่ก็เพื่อจะเข้าใจเขา เก็บเงินสร้างอนาคตด้วยกัน แต่ก็คุยกันเคลียร์แล้วนี่ ว่าถึงบริษัทจะเป็นคู่แข่ง แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องระหว่างเรา ทำไมดุลไม่พยายามเข้าใจสิ่งที่เราทำเลยนะ

ชายหนุ่มได้แต่นิ่ง หลังจากที่ได้พูดออกไปแล้ว อืม ดันพูดไปจนได้ ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว ตอนแรกก็บอกว่าเรื่องงานจะไม่มีผล ไม่คุยกัน แล้วไอ้ยอดขายที่ถล่มทลายเนี่ย ไม่ใช่เพราะว่าข้อมูล หรือคำแนะนำจากเราเหรอ แถมไอ้แก่หัวหน้าเธอดันเป็นคู่แค้นเก่าเราอีก เข้าข้างกันชัดๆ แล้วที่ผ่านมาเราก็ทุ่มเทให้เธอตลอดเลยเนี่ยนะ

"ฮึ ก็แค่อิจฉาใช่ไหม แล้วนี่ดุลคิดอะไรไปถึงไหนแล้วนี่ ทุเรศมากเลยนะ"
"ไม่ใช่อิจฉาหรอก แค่ผิดหวังกับคนที่เคยไว้ใจที่สุดน่ะ ไม่คิดว่าผลประโยชน์แค่นี้ จะหักหลังกันได้ มิน่าเล่า แอนถึงพยายามจะวิ่งออกจากชีวิตผม เพราะเงินจากไอ้แก่หัวหน้าเธอนั่นเอง"

"คิดว่าแอนวิ่งหนีดุลเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ จำไว้นะ ชั้นไม่ได้วิ่งหนีจากชีวิตคุณ แต่ตัวคุณเองต่างหากที่วิ่งถอยหลังไปจากความรักของเรา ที่ผ่านมามีแต่ชั้่นที่ทุ่มเทให้คุณตลอด แต่คุณล่ะ"

น่าแปลกที่ สายตาของหญิงสาวที่มองฝ่ายตรงข้าม ไม่เหลือเค้าของความรักที่เคยดูดดื่ม เหมือนอีเมล์ หรือ SMS ที่เคยส่งถึงกัน เธอคิดว่า ถ้าที่เขาพูดมาคือเรื่องจริง ก็ไม่จำเป็นที่ต้องเกรงใจอะไรกันอีก แกทำงานห่วยเอง แถมยังมาโทษคนอื่น ที่ผ่านมาถ้าไม่ใช่เพราะไอเดียชั้น แกจะมาได้ถึงขั้นนี้เหรอ

น่าแปลกที่ สายตาของชายหนุ่มที่มองกลับไปที่หญิงสาวมีแต่ความว่างเปล่า ใช่แล้ว เธอไม่ปฏิเสธเรื่องที่ร่วมมือกับหัวหน้าเธอเพื่อแว้งกัดเรา แถมยังพูดยกตัวเองให้ดูดีมีหลักการอีกเช่นเคย

"งั้น คุณก็คิดง่ายๆ ละกัน เหตุผลที่คนเราวิ่งหนีฝ่ายตรงข้ามเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะว่า "ความเกลียด" หรือ "ความกลัว" ซึ่งเรื่องระหว่างเรานั้น ผมไม่จำเป็นต้องกลัวคุณอยู่แล้ว แต่คุณไปคิดเองละกัน ว่าที่ผ่านมาทำอะไรเลวๆ ลงไปบ้าง"

"ก็ได้ ชั้นจะจำไว้ ว่าสิ่งที่คุณทำมันเพราะ "ความเกลียด" บนความอิจฉา ใจแคบ ของคุณที่รับมันไม่ได้ แล้วชั้นก็ไม่เคยคิดนะ ว่าทำอะไรเลวๆ ลงไป มันก็แค่งานเท่านั้น"

************************************************************
สิ่งที่บาริสต้่า เจ้าของร้านเห็น คือภาพของผู้ชายที่นั่งหน้าเครียด ต่อหน้าหญิงสาวที่นั่งน้ำตาคลอ ทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีใครพูดอะไร หลายปีที่ผ่านมาชายหญิงคู่นี้เป็นลูกค้าประจำที่ร้าน ทั้ง 2 มักจะมานั่งคุยกันเรื่องงาน ให้คำแนะนำ กำลังใจซึ่งกันและกัน ทั้ง 2 เคยถามเขาเล่นๆ ว่า จะขอมาถ่ายรูปคู่แต่งงานในบรรยากาศคลาสสิคๆ ของร้านเขาได้หรือไม่

แต่ตอนนี้ บรรยากาศชวนหดหู่ยิ่งกว่าข้างนอกร้าน ที่ฝนเริ่มซาเม็ดแล้ว เขาเอื้อมมือไปเปิดดีวีดี เผื่อว่าบรรยากาศโดยรวมมันจะดีขึ้นบ้าง

ภาพบนจอเป็นการ์ตูนคลาสสิคเรื่ิอง ทอม แอนด์ เจอร์รี่ ที่เจ้าแมวทอม พยายามวิ่งไล่ เจ้าหนูเจอร์รี่ อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ไ้ด้แผนที่กรุสมบัติที่ซ่อนคลังอาหารอีกส่วนหนึ่งไว้ ซึ่งเป็นไปตามขนบของการ์ตูนแนวนี้ ที่ต่างก็วิ่งกันป่าราบไปข้าง

เด็กเสริฟกาแฟชาวพม่า ถือโอกาสลูกค้าไม่ค่อยมี มานั่งผสมโรงดูการ์ตูนด้วยนั้น หัวเราะเสียงดังกับภาพที่เห็น "ทำไมมันโง่ อย่างนี้น่ะ คนนึงวิ่งไล่ อีกคนวิ่งหนี ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แล้วเมื่อไรมันจะได้เจอสมบัติกันซะทีเนี่ย ถ้ามันฉลาดๆ หน่อยนะ มันหันหน้ามาคุยกันตรงๆ ร่วมมือกัน เอาแผนที่มารวมกัน แค่นี้มันก็สบายแล้ว"

"แม่นนะมึง" บาริสต้า หัวเราะหึๆ กับความคิดของเด็กเสริฟ ซึ่งอีกไม่กี่นาทีถัดไป ทอม กับ เจอร์รี่ ก็จะหันหน้ามาร่วมมือกันอย่างที่เขาว่าจริงๆ คงมีแต่ในการ์ตูนเท่านั้น ที่แมวจะรักและร่วมมือกับหนูได้

แต่เขาก็ยังหวังว่า ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่ได้ยินที่เด็กเสริฟพูด เขาอยากให้คนอื่นๆ ในร้านด้วยเช่นกัน



มองมุมเหม่ง > เหตุผลของนักช้อป (Confessions of a Shopaholic)


สำหรับคนที่สนใจในความเป็นมาของเศรษฐศาสตร์ และจิตวิทยาผู้บริโภค คงจะเคยได้ยินเรื่องราวของ "เศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม" (Behavioral Economics) ที่มุ่งให้ความสนใจพฤติกรรม การตัดสินใจต่างๆ ของมนุษย์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ และเศรษฐศาสตร์ในภาพเล็ก และภาพใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจซื้อ ขาย สินค้า หรือแม้กระทั่งการลงทุนต่างๆ

(ในเมืองไทยที่ผมได้ยินคำนี้แรกๆ จาก ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ ครับ หรือถ้าจะหาหนังสืออ่านก็ขอแนะนำ Predictably Irrational แปลเป็นไทย โดย คุณ พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ ครับ)

โดยปกติแล้ว เราจะพบว่า มนุษย์ทั้งหลายพยายามจะอ้างว่า การตัดสินใจของตนเองทั้งหลายทั้งปวงนั้น อยู่บน "หลักการ" ของการใช้เหตุผล ที่ผ่านการวิเคราะห์ ไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว

แต่ก็มีหลายๆ เหตุการณ์ที่พอวิเคราะห์ลึกๆ ไปแล้ว กลับหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ตามหลักการของเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม แต่กลับกลายเป็นการซื้อ หรือ จับจ่ายไปด้วยเรื่องของอารมณ์แท้ๆ

ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินซื้อของบางอย่างเพื่อที่จะ "ประชด" คนขาย ให้รู้ว่า "กูก็มีเงินนะโว้ย" หรือ จ่ายเงินเพื่อความสงสารให้กับเด็กน้อยที่มาขอทาน โดยที่ไม่รู้เลยว่า มันเป็นอาชีพการแสดงประเภทหนึ่งเท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น

มองในแง่การจับจ่าย ช้อปปิ้งกันบ้าง เชื่อว่าหลายๆ คน (แม้กระทั่งผมเองก็ตาม) ที่มักจะเป็นโรคภูมิแพ้ "ป้ายลดราคา" เป็นอย่างยิ่ง เจอทีไร ถึงกับอ่อนแรง โดนดึงดูดไปโดยไม่ีรู้่ตัว (อันเนื่องมาจากจิตวิทยาอันชาญฉลาดของคนขาย ในการออกแบบ การใช้สีสัน หรือ ตัวเลขที่มาจูงใจ) แต่เมื่อกลับมาบ้านแล้ว ต้องมานั่งเซ็งตัวเองว่า "กูซื้อมาทำไมว่ะเนี่ย ของเก่ายังเหลือเพียบ" บางครั้ง กลายเป็นปัญหาครอบครัวก็ว่าได้

ซึ่งจากตัวอย่างข้างต้นนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะความรู้สึกเสียดายโอกาสที่จะพลาดของ (ที่คิดว่า) ถูก ครับ เพราะคนเรามักจะคิดว่า ครั้งหน้าอาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว จึงทำให้ตัดสินใจอย่างนั้น

หรืออีกประเด็นหนึ่งก็คือ การซื้อของที่ "ยังไม่เคยมี" อาจจะเพราะในอดีต เรายังไม่พร้อมที่จะซื้อ (เงินน้อย) แต่พูดตรงๆ คือ มันเป็นเรื่อง "คาใจ" ดังนั้น พอมีโอกาสแล้ว ก็จะซื้อไปโดยไม่ไตร่ตรองเลย เช่น การซื้อเครื่องประดับราคาแพง หรือ การจ่ายค่าอาหารบางมื้อ เพื่อสนองความอยากในอดีต เป็นต้น

เชื่อไหมละครับ ถ้าไปถามทุกคนตามตัวอย่างข้างต้นนี้ ร้อยทั้งล้านจะตอบว่าตัวเองได้ตัดสินใจอย่างถี่ถ้วน และรอบคอบทุกคนครับ

แต่อย่างนึงที่อาจจะลืมคิดกันไปคือ มัน "จำเป็น" หรือเปล่า

เราซื้อไปแล้ว จะได้ใช้เลยหรือไม่ ซื้อเพราะความกลัว แล้วทำให้รกห้องเก็บของเราเปล่าๆ ปลี้ๆ หรือไม่

เรามีตัวเลือกอื่นที่ใช้เงินน้อยกว่านี้หรือเปล่า เพื่อที่ว่าเราจะได้เอาเงินที่เหลือไปทำอย่างอื่นๆ ได้ต่อไป

ครับ ส่วนใหญ่มาคิดได้ ก็ตอนกลับบ้าน เอาของออกจากถุง ตอนนั้นแหละ

แต่ไม่ผิดหรอกครับ เพราะด้วยความยั่วยวนของสภาพแวดล้อมร้านค้า คำพูดโอ้โลมปฏิโลมของคนขาย ถ้าใจไม่แข็งจริงก็ยากที่จะปฏิเสธ

แต่หวังว่าครั้งต่อไป ทุกท่านคงมีสติและไม่พลาดท่าเสียทีต้องมานั่งเสียใจอีกต่อไป

ขอให้ทุกท่าานมีความสุข และ สติกับการใช้เงินที่เราต่างหามาครับ

June 21, 2012

มองมุมเหม่ง > ไม่กลัวเรื่อง "คลาวด์ๆ" (Cloud Computing)



ในประเทศไทย เรื่องของคลาวด์ คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) มีการพูดถึงมาสัก 2-3 ปีแล้วครับ แรกๆ ก็จะเป็นที่งงงงกันว่ามันคืออะไร ยังไง แต่ตอนนี้ หลายๆ หน่วยงาน ก็เริ่มที่จะทำความเข้าใจและโปรโมทแบบรู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่นับว่าก็ดีขึ้นกว่าเดิมแล้วครับ

ล่าสุดอ่านบทความเรื่อง Cloud Computing Simply Isn't That Scary Anymore: Survey โดยนาย Joe McKendrick จากนิตยสาร Forbes ที่บริษัท North Bridge Venture Partnersได้
สำรวจ CIO จำนวน 785 บริษัท ในเรื่องของ คลาวด์ คอมพิวติ้ง ซึ่งในบทความนี้จะทำให้เราเห็นมุมมองของคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับคลาวด์ ว่าเขาคิดเห็นกันอย่างไร เพื่อจะได้รับมือในส่วนของพวกเราครับ


ภาพรวมของการใช้งานคลาวด์ พบว่า เหล่า CIO (Chief Information Officer) ทั้งหลายเิิริ่มเข้าใจและกล้าที่จะใช้งาน Cloud Computing มากขึ้น ถึง 50% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งแนวโน้มในการใช้งานแพร่หลายไปในส่วนของโปรแกรม Application ต่างๆ ผ่านระบบคลาวด์ มากขึ้น หรือที่เรียกกันทางเทคนิคว่า SaaS (Software as a Service) คือ คุณไม่จำเป็นต้องซื้อโปรแกรมไปลง เพียงแต่ ล็อกอิน เข้ามาใช้ (จากที่ไหนก็ได้ ขอให้ต่อเน็ตได้เป็นพอ) แล้วก็จ่ายเงินตามการใช้งานจริง ซึ่งปัจจุบัน ก็จะเป็นโปรแกรมพวก CRM (Customer Relationship Management), การบริหารงานขายทั้งหลาย, เกมออนไลน์, ซอร์ฟแวร์เอกสารต่างๆ ในออฟฟิศ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนกว่า 80% ของปริมาณโปรแกรมในท้องตลาดทั้งหมด

เหตุผลหลักๆ ที่ลงคะแนนให้มากกว่า 50 % ในการเปลี่ยนมาใช้งานคลาวด์มากขึ้นคือ การเพิ่มหรือลดจำนวนผู้ใช้งาน (Scalability) นั้นทำได้ง่าย และ ยืดหยุ่น (Flexibility) กว่าการซื้อโปรแกรมแล้วมาลงทีละเครื่องๆ เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งง่ายในการควบคุมค่าใช้จ่ายต่อหน่วยที่ใช้งานและสะดวกกว่าเดิมมาก

ที่น่าแปลกคือ พอถามถึงความคุ้มค่าในภาพรวม (Total Cost of Ownership) ของการลงทุน ปรากฏว่าจำนวนผู้ที่คิดว่ามันคุ้มค่าในการเปลี่ยนจากการลงทุนซื้อซอฟแวร์ และ ฮาร์ดแวร์ มาเป็นการใช้งานผ่านคลาวด์นั้น กลับมีจำนวนลดลง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะค่าใช้จ่ายต่อเดือน ต่อผู้ใช้งาน เมื่อคำนวณในระยะยาวแล้วอาจจะไม่ต่างกันมากสักเท่าไร 

แต่เหตุผลที่เปลี่ยนไปใช้คลาวด์เพื่อเป็นการประหยัดการลงทุน อาจจะไม่ใช่เหตุผลหลักที่ CIO ทั้งหลายควรคำนึงถึง แต่แท้จริงแล้ว การตอบสนองความต้องการของธุรกิจ ความเร็วในการปรับใช้ และประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่าที่ควรเป็นหัวข้อในการเลือกใช้คลาวด์

อีกแนวโน้มหนึ่งที่จะทำให้การใช้คลาวด์เป็นที่นิยม ซึ่ง 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นพ้องต้องกันคือ งานที่ต้องมีการประมวลผลจำนวนมาก และงานที่ต้องมีการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน แต่ละบริษัทอาจจะต้องทบทวนตัวเลขการลงทุนเทียบกับปริมาณงานที่บริษัทคุณมี ในจุดนี้บริการคลาวด์ที่จ่ายต่อครั้งน่าจะถูกและคุ้มค่ากว่าการลงทุนเองครับ

ฟังดูเหมือนจะดี แล้วสิ่งที่เหล่า CIO ทั้งหลาย นั้นกังวลเรื่องอะไรกันบ้าง

อย่างแรกที่ยังเป็นเหตุผลที่มาเป็นอันดับ 1 ตลอด คือเรื่องของ "ความปลอดภัย" (55%) ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จัดได้ว่าอ่อนไหว เพราะข้อมูลความลับของเราไปอยู่้ตรงไหนอย่างไรก็ไม่รู้ ทางผู้ให้บริการก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้มากขึ้น

รองลงมา (38%) เป็นเรื่องของกฏระเบียบ ข้อกฏหมายต่างๆ ที่มักจะตามเทคโนโลยีไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิทธิการเป็นเจ้าของ การรับผิดชอบ จริงๆ ไม่เกี่ยวกับทางเทคนิคเท่าไร ตรงนี้น่าจะเถียงกันอีกนานครับ 

และถัดมา (32%) เป็นความกังวลในเรื่องของผู้ให้บริการครับ ว่าจะมีความน่าเชื่อถือ ของทั้งบริษัท หรือ ของระบบโครงสร้างต่างๆ ที่มารองรับแค่ไหน ทั้งระบบ  Infrastructure, Platform, Security ต่างๆ 

แต่อย่างไรท้ายที่สุดแล้ว Joe ก็บอกว่า การใช้งานโปรแกรมต่างๆ ผ่านคลาวด์จะแพร่หลายไปเรื่อย จนกระทั่งวันหนึ่งคลาวด์จะไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือน่ากลัวอีกต่อไป

แล้วในส่วนของคนไทยนั้น วันนี้เรามีคนเข้าใจเรื่องคลาวด์มากขึ้น หลายๆ คนที่ยังไม่เข้าใจแต่ก็หารู้ไม่ว่าตนเองก็ใช้บริการคลาวด์อยู่เช่นเดียวกันไม่มากก็น้อย (บริการอีเมล์ต่างๆ, facebook, google, game online) ซึ่งส่วนที่หน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทย ต้องเร่งรีบพัฒนาก็คงจะไม่ต่างกับสิ่งที่ CIO 785 บริษัทนั้นกังวลเช่นกันครับ ประเด็นคือ แล้วใครจะเป็นเจ้าภาพ ภาครัฐที่เชื่องช้า หรือ เอกชนที่มีข้อสงสัยในเรื่องความเป็นกลางและผลประโยชน์


ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ผู้ใช้งานตาดำๆ อย่างเราก็คงต้องทำใจละครับ


อ้างอิง: http://www.forbes.com/sites/joemckendrick/2012/06/20/cloud-computing-simply-isnt-that-scary-anymore-survey/

June 10, 2012

เป็นเรื่อง > อกหัก รักคุด (Broken Heart)

บรรยากาศข้างนอกขมุกขมัว เมฆทะมึนสีดำที่ตั้งเค้ามาระยะหนึ่ง เริ่มบิดตัวกลายเป็นน้ำตาฟ้าหยดลงมาเป็นสาย 

"โชคดีนะ ที่เข้ามาหลบในนี้ก่อน" เขานึกในใจที่ตัดสินใจหลบรถติดในบ่ายวันศุกร์ มาที่ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่แห่งนี้ แต่สายฝนที่พรั่งพรู กลับทำให้เขายิ่งห่อเหี่ยวใจ

นึกถึงเรื่องเมื่อสัปดาห์ก่อน ระหว่างเขากับเธอ ถึงจะไม่แปลกใจนัก แต่บทสรุปของคำตอบเธอก็ทำให้เขาใจเสียไม่ใช่น้อย

"เราเลิกกันเถอะ"

"เอ่อ..แล้วงานแต่งของเราล่ะ"

"ก็ยกเลิกไปสิ การ์ดก็ยังไม่ได้แจกนี่ ตอนนี้แค่บอกเพื่อนๆ กับที่บ้านก็แค่นั้น แต่ถ้าพี่จะเสียดายเงิน เดี๋ยวชั้นออกเองก็ได้"

"มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินนะ เพราะพี่เองก็พยายามหามาให้พอค่าจัดงานอยู่แล้วนี่"


"ก็พี่เป็นซะอย่างนี้ มัวแต่ทำแต่งาน ไม่เคยสนใจชั้นเลย เอาแต่พล่ามว่าต้องเก็บเงิน ต้องติดต่อลูกค้า สารพัดจะอ้างล่ะ แล้วแค่ชั้นออกไปเทียวกับเพื่อนๆ แค่เนี๊ย ต้องกลับมาฟ้องพ่อด้วย"

"เรื่องนั้นพี่ขอโทษแล้วไง ก็โทรหาเราไม่ติด แล้วมันก็ดึกมากแล้วด้วย พี่ไม่รู้จะติดต่อใคร"


"ไม่ต้องพูดต่อละ ชั้นต้องไปแล้ว มีธุระ นัดเพื่อนไว้"

***************************

ฝนที่ตกยังเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นม่านสีเทาทึบ คงต้องนั่งที่นี่อีกสักพัก มองไปรอบๆ มีแขกเข้ามานั่งไม่กี่โต๊ะ เขารู้สึกว่ามีใครสักคนมองอยู่ หันไปเห็นเป็นผู้ชายคนนึง นั่งห่างไป 2 โต๊ะ ถ้าดูจากจำนวนขวดเบียร์เกือบครึ่งโหล และ กับแกล้ม 2-3 จาน ก็คงจะเริ่มกรึ่มได้ที่ แต่ก็ขัดตากับหน้าตา เสื้อผ้าที่ใส่ เขาเดาอายุไม่ออกด้วยทรงผมที่ไว้ยาวตามสมัยวัยรุ่นเกาหลี แต่หนวดเครายาวครึ้ม ภายใต้ชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะเก่าๆ พระเจ้าช่วย น่าจะ "ดาวเทียม" ด้วยนะเนี่ย

"เฮ้ย ตี๋ กินเบียร์ด้วยกันไหม" เสียงอ้อแอ้ แต่คิดว่ายังคุมสติอยู่

"พี่ เรียกผมเหรอ" หันไปมองรอบๆ มีเราโต๊ะเดียวนี่หว่า เอาว่ะ หาเพื่อนกินเบียร์ฆ่าเวลา รอรถหายติดก็ดี มันคงไม่ทำมิดีมิร้ายกับเราหรอกนะ

***************************

เมื่อเบียร์ขวดที่ 2 ผ่านไป ทั้ง 2 เริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น ไม่มีการถามชื่อแซ่ เรียกกันอย่างนับถือแค่ "พี่ กับ น้อง" เท่านั้น พี่มาที่ร้านตั้งแต่บ่ายเพื่อฉลองที่ถูกหวย กินเบียร์รอเพื่อนๆ ที่จะมาตอนเย็น

"เฮ้ย กินเหล้ากินเบียร์ มันก็ต้องสนุกสนานสิวะ เป็นอะไรวะเนี่ย ทำหน้าเซ็งๆ เดี๋ยวเบียร์ไม่อร่อยนะโว้ย"

"กลุ้มใจดิพี่ เพิ่งเลิกกับแฟน จะแต่งงานเดือนหน้าแท้ๆ แล้วเนี่ย" เขาเริ่มที่อยากจะระบายให้ใครสักคนฟังบ้าง เอาเป็นคนที่ไม่รู้จักเนี่ยละว่ะ


พี่จ้องหน้าเขาเขม็ง "เหรอ แล้วร้องไห้หรือเปล่า มิวสิคในทีวีต้องไปร้องไห้กลางสายฝนนะ เอาไหม ฝนกำลังตกเลย เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน"

"โห พี่ ขำตายเลยนะเนี่ย คบมาตั้งนาน ร้องไห้เสียใจนะก็ต้องมีบ้างแหละ แต่ไม่ตากฝนน่ะ เดี๋ยวเป็นหวัดไม่มีใครเช็ดตัวอ่ะ" ปล่อยมุขสวนไป แต่รู้สึกไม่ค่อยขำเท่าไร


"เสียใจเหรอ เสียใจเรื่องอะไรวะ"

"อ้าวพี่ เลิกกันก็ต้องเสียใจสิ เสียทั้งเวลา เสียทั้งความรู้สึก ผู้ใหญ่สองฝ่ายก็รับรู้ เพื่อนฝูงอีก..." และหลายๆ อย่างก็พรั่งพรูไหลบ่าออกมา เหมือนกระสอบทรายที่ทานแรงน้ำไม่ไหว เขาเล่าให้ฟังถึงการเปลี่ยนแปลงของเธอ จากที่เคยตามใจ เห็นคล้อยกับความคิด การกระทำของเขา ก็เริ่มเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทอง แต่เป็นเวลา และที่อึดอัดที่สุดคือ การที่พยายามจะเปลี่ยน "ตัวตน" ของเขาให้เป็นอย่างที่เธออยากให้เป็น ทั้งๆ ที่เขาพยายามจะเข้าใจถึงความต้องการของเธอ และหาจุดที่ "ลงตัว" ระหว่างทั้ง 2 คน

"แล้วคบกันมา ดูไม่ออกเหรอว่าเค้าเป็นคนยังไง เอ พี่ว่าน้องก็ดูๆ ไม่น่าโง่นี่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" หัวเราะเสียงดังจนเด็กเสิร์ฟหันมามอง

เฮ้อ ไม่อยากจะเตะคนเมานะเนี่ย "โธ่ พี่ ตอนนั้น ก็คิดๆ ว่าเค้าน่าจะเปลี่ยนได้ แต่จะว่าไป ก็เหมือนผมหลอกตัวเองนะ มัวแต่คิดถึงเรื่องดีๆ ความดีที่เขาเคยทำให้เราสิ พี่เองก็ดูฉลาดดีนะ ไม่น่าถามเลย ถ้าเป็นพี่เองก็คงเสียใจเหมือนผมนั่นแหละ" 

"ไม่ว่ะ เสียใจทำไมวะ" เขาถึงกับอึ้งในคำตอบ และอ้าปากค้างกับประโยคถัดมา

"อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเค้าเป็นคนยังไง คิดดูสิ ถ้าเกิดแต่งงานไปแล้ว มีลูกมีเต้ากัน แล้วธาตุแท้มันออกมาตอนนั้น จะยิ่งยุ่งกว่านี้อีก ลามปามไปถึงญาติๆ ด้วย คิดอีกที เลิกกันแล้ว หลังจากนี้ น้องก็มีเวลาทำงานมากขึ้น มีเวลาดูแลพ่อแม่อยู่กับญาติๆ มากขึ้น ไม่ดีเหรอ ถ้าเป็นพี่ เลิกกับคนแบบนี้ได้ก็ต้องมาฉลองกันหน่อยแล้ว ฮ่า ฮ่า"

"โห พี่คิดได้ไงเนี่ย อืม จะว่าไปก็ใช่นะ เพราะตอนคบกัน ผมต้องให้เวลาเขามาก บางทีก็ลืมพ่อ เมินแม่ไปเหมือนกัน อืม ขอบคุณพี่มากนะครับที่ให้มุมมองใหม่ๆ ด้วย"


"เอิ๊ก ไม่ใช่แค่นี้หรอก น้องลองไปคิดต่อนะ ว่านิสัยการคิด การตัดสินใจของเรายังเป็นอย่างนี้ มันส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ ในชีวิตเราด้วยหรือเปล่า การที่เอาอารมณ์มาเหนือเหตุผล โลเลไม่ตัดสินใจ คิดเข้าข้างตัวเอง ถ้าแก้ได้ก็นับว่ากำไรสองต่อเลย เผลอๆ พี่ว่าเราต้องกลับไปขอบคุณแม่ยอดยาหยีเราด้วยซ้ำไปนะ"

"แหม พี่ครับชมหน่อย เอาใหญ่เลยนะเนี่ย แต่ก็ขอบคุณนะ..ค.." ยังไม่ทันจบประโยค ก็มีชายในชุดเครื่องแบบสีขาว 2 คนเดินเข้ามาหน้าตาเคร่งเครียด "พี่" หันไปมองทำหน้ายิ้มๆ ตาเยิ้ม

"อ้าว อ้าว มากันแล้วเหรอ มะ มารู้จักน้องผมหน่อย เอ้า นั่งๆ" อืม สงสัยเป็นเพื่อนพี่เขานั่นเอง

"เฮ้ย ไม่ต้องพูดมากเลย หาตั้งนาน พามาตรวจนอกสถานที่ทีไร ต้องหนีมาทุกที ไป๊ กลับไปที่โรงพยาบาลได้แล้ว" ทั้งสองเข้ามาหิ้วปีกลาก "พี่" ที่นั่งหัวเราะเสียงดัง เอิ๊กอ๊าก ออกไป พร้อมกับสายตางงๆ ของเขาและคนในร้าน

เด็กเสิร์ฟแอบหัวเราะคิก กระซิบเบาจนเขาได้ยิน "คนบ้าว่ะ"

***************************
 เขาเดินออกมาข้างนอก สายตาขบขันของบางคนในร้านยังมองลอดมาบ้าง เขาคงไม่กล้ามาที่นี่อีกนาน แหม ก็โดนคนบ้าหลอกกินฟรี แถมคุยกันเป็นวรรคเป็นเวร แม้ว่าคนรอบข้างจะมอง "พี่" เขาเป็นคนบ้าคนนึง แต่สำหรับเขาแล้ว บางทีคนดีๆ อย่างเขาต่างหาก ที่ "บ้า" มากกว่าพี่เขานัก

เงยหน้ามองท้องฟ้า ฝนหยุดตกแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใส เงาพระจันทร์เดินตามไล่พระอาทิตย์ที่กำลังจะเลิกงาน เขายิ้มให้กับตัวเอง ว่าจะกลับบ้านไปกราบพ่อ กราบแม่ อีกครั้ง




June 6, 2012

มองมุมเหม่ง > ความสุขในวันนี้ (The Pursuit of Happyness)


คงเป็นเรื่องยากที่จะมองย้อนกลับไปในอดีต เพื่อตอบตัวเองว่า ความหมายของ "ความสุข" คืออะไร


ในวัยเล็ก ความสุขของเราคงเป็น "ของเล่น" ต่างๆ ที่พ่อแม่ซื้อมาให้ โตมาอีกหน่อย "ขนมอร่อยๆ" ก็เป็นเป้าหมายที่มาแทนที่ หรือยังอยู่คู่กัน

สำหรับวัยรุ่นแล้ว ความสุขเริ่มมีหน้าตาหลากหลาย ขึ้นกับรสนิยม ประสบการณ์ หรือ การศึกษาที่สะสมมา

ครั้งหนึ่ง ผมพบว่า แค่เป๊ปซี่ เย็นฉ่ำกับน้ำแข็งกรุบกรอบ คือความสุขที่สุดของหญิงสาวคนหนึ่งไม่น่าเชื่อ แต่เป็นเพราะ "ความอยาก" ในตอนเด็กที่ไม่ได้เติมเต็ม กลายเป็นเงื่อนไขของความสุข (อีกอย่างหนึ่ง) ของเธอ

แต่ในวันที่ชีวิตเดินทางมาถึงวันนี้ แม้ว่ามันยังไม่ถึงเส้นชัย แต่เงื่อนเวลาก็อนุญาตให้เราได้หยุดพัก หยุดคิดบ้าง

ผมถามตัวเองอีกครั้งว่า "ความสุข" ของเราคืออะไร

แปลก ที่ในยามที่เราคิดว่าเรามี "ความสุข" เมื่อถามคำถามนี้ ผมมักจะมองหาคำตอบไม่เจอ มันเบลอๆ เหมือนสายตาผู้ชายเมื่อตอนอายุ 40 ขึ้นไป (ทำไมต้องเป็นสายตาผู้ชายนะรึ เพราะผมยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการมองแบบผู้หญิง)

แค่รู้สึกได้เท่านั้น ว่า เออ กูมีความสุขนะ

แต่ในวันนี้ วันที่เรามีภาระมากกว่าเมื่อวาน และปัญหาที่มาพร้อมกับภาระเหล่านั้น บางครั้ง พร้อมใจมาเยี่ยมเราโดยมิได้นัดหมาย ถาโถมสันนิบาตกันเข้ามา จนบางครั้งเราไม่เพียงแต่ซวนเซ แต่อาจจะล้มคว่ำกันง่ายๆ

พยายามตั้งหลักให้ได้ก่อนครับ หยุด หรือ เดินถอยหลังสักหลายๆ ก้าว ถ้ามันจำเป็น มองปัญหาเหล่านั้นให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วเวลานั้น "สติ" ที่ทำหล่น เพราะโดนชน ก็จะกลับมา

นอกจากสติจะกลับมาแล้ว ปัญญา ก็จะตามมาด้วย จะถูกต้องนะคร้าบบบบ หรือเปล่าก็มาดูกัน

แล้วตอนนั้น ลองถามตัวเองสิครับ ว่า "ความสุข" ของเราคืออะไร

คุณอาจจะพบว่า ท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้า คนที่รักคุณจริงๆ ก็จะปรากฏตัวขึ้นมา ทั้ง ครอบครัว เพื่อนฝูง ญาติมิตร หรือ บางคนที่คุณเคยทำดีแล้วไม่ได้จำ เขาก็อาจจะกลับมายื่นมือช่วยเหลือคุณ

คุณอาจจะพบต่ออีกว่า คนบางคนที่คุณเคยคิดว่าเขาเป็นคนดี เป็นคนที่คุณคาดหวังไว้ เขาได้เผยธาตุแท้ ตัวตนจริงๆ มาให้คุณได้เห็นว่า คุณไม่สามารถพึ่งพาเขาได้เลย

คุณก็จะพบว่า คุณมีเวลา หรือ มีโอกาสได้ทำอะไรอย่างอื่น ที่ต่างไปจากเดิม กิจกรรมเหล่านี้ อาจจะจุดประกายทางความคิด หรือ ทางเลือกใหม่ๆ ในชีวิตให้คุณได้

หรือ อย่างน้อยที่สุด คุณได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ทบทวนทางเดินชีวิตที่ผ่านมา เข้าใจตัวเองว่าจะเดินไปอย่างไรต่อไป

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ คิดไหมครับ ว่ามันคือ "ความสุข" อย่างหนึ่ง

ที่เราอาจจะทำหาย หรือ ลืมมันไปแล้ว


April 8, 2012

มองมุมเหม่ง > แค่อยู่ด้วยกัน (Be With You)


ใกล้สงกรานต์แล้ว คำถามยอดนิยม ซึ่งไม่ใช่แค่เทศกาลนี้แต่เป็นทุกเทศกาล จนผมจำไม่ได้ว่า ค่านิยมนี้มันมาจากไหน คือ "จะหนีกรุงเทพฯ ไปเที่ยวไหน??" ซึ่งช่วงหนึ่งของชีวิตก็รู้สึกว่า มันเป็นกิจกรรม "ท่าบังคับ" ที่ต้องมานั่งคิดๆ กัน แล้วก็ต้องมาปวดหัว เวียนตับ กับจำนวนคนมากมายที่หนีกรุงเทพฯ ไปด้วยกัน ไปแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว ในย่านต่างๆ ทั้งพัทยา หัวหิน ชะอำ ระยอง เขาใหญ่ ฯลฯ จนส่งผลให้ร้านค้าดังๆ ในท้องถิ่นเหล่านั้นต้องพลอยเสียหายไปด้วย อันเนื่องมาจากระดับคุณภาพการบริการ ที่ไม่สามารถรองรับจำนวนคนมหาศาลได้ อันนี้ประการหนึ่ง

แต่อีกประเด็นที่สำคัญกว่า คือ เราต่างลืมไปว่า เราไปสถานที่เหล่านั้น เพื่อให้เรามีความสุขกับคน "ที่เรารัก" ต่างหาก แม้กระทั่งตัวผมเอง หลายครั้งที่ปัญหาจากสถานที่ต่างหน้าเหล่านั้น ทำให้เกิด "ปัญหา" กับคนที่เรารักจนได้

แล้วมันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่าละครับ

ต่อๆ มา ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะปล่อยวางกับสถานที่ต่างๆ ให้มันเป็นเพียงสิ่งเติมเต็มที่ "ไม่คาดหวัง" เพื่อที่จะได้ "เกินคาดหวัง" จะดีกว่า แล้วหันไปทุ่มเทกับคนที่เรารักรอบๆ ข้างมากขึ้น

แค่เท่านี้ บางครั้ง ห้องนั่งเล่น ก็เกินพอแล้ว

มองมุมเหม่ง > ช่วงเวลาของชีวิต (Life Cycle)

เป็นความอับอายอย่างหนึ่ง เมื่อดูประวัติการอัพเดตที่ขาดหายไปกับช่วงเวลาที่ผ่านมา มันก็คงเีกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในชีวิต ดีหน่อยที่มันแค่เรื่องงานเท่านั้น แต่ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่า ทุกวันนี้เราแยกงานกับเรื่องส่วนตัวได้ยากแค่ไหน เราใช้ชีวิตในออฟฟิศมากกว่าที่บ้่าน ไม่นับรวมบนท้องถนน สำหรับบางคนนะครับ

ในวัยที่ใกล้ "หลักสี่" นั้น เมื่อทบทวนกับเรื่องราวที่ผ่านมา ผมพบว่าชีิวิตของแต่ละคนจะมี "วัฏจักร" ที่จะกินเวลาไม่เท่ากัน แ่ต่เรื่องราวหรือการเปลี่ยนแปลงมันจะกลับมาอีกครั้ง เหมือนกับที่รุ่นพี่คนหนึ่งตั้งข้อสังเกตกับวงจรของเศรษฐกิจที่ตก ฟื้นตัว แล้วก็กลับมา

ถ้าพิจารณาในแง่ของ "สถิติศาสตร์" มันก็น่าจะพอเป็นแนวทางให้กับเราได้ว่าเราจะกำหนด "จังหวะ" ของชีวิตเราต่อไปอย่างไร บางคนอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องงาน เรื่องที่อยู่ หรือแม้กระทั่งโชคลาภที่เกิดขึ้่น

แต่อย่างไรก็ดี ถ้ามันจะ "มี" หรือ "ไม่มี" การเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างมีสติก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด