August 2, 2012

มองมุมเหม่ง > เหตุผลของนักช้อป (Confessions of a Shopaholic)


สำหรับคนที่สนใจในความเป็นมาของเศรษฐศาสตร์ และจิตวิทยาผู้บริโภค คงจะเคยได้ยินเรื่องราวของ "เศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม" (Behavioral Economics) ที่มุ่งให้ความสนใจพฤติกรรม การตัดสินใจต่างๆ ของมนุษย์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ และเศรษฐศาสตร์ในภาพเล็ก และภาพใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจซื้อ ขาย สินค้า หรือแม้กระทั่งการลงทุนต่างๆ

(ในเมืองไทยที่ผมได้ยินคำนี้แรกๆ จาก ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ ครับ หรือถ้าจะหาหนังสืออ่านก็ขอแนะนำ Predictably Irrational แปลเป็นไทย โดย คุณ พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ ครับ)

โดยปกติแล้ว เราจะพบว่า มนุษย์ทั้งหลายพยายามจะอ้างว่า การตัดสินใจของตนเองทั้งหลายทั้งปวงนั้น อยู่บน "หลักการ" ของการใช้เหตุผล ที่ผ่านการวิเคราะห์ ไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว

แต่ก็มีหลายๆ เหตุการณ์ที่พอวิเคราะห์ลึกๆ ไปแล้ว กลับหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ตามหลักการของเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม แต่กลับกลายเป็นการซื้อ หรือ จับจ่ายไปด้วยเรื่องของอารมณ์แท้ๆ

ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินซื้อของบางอย่างเพื่อที่จะ "ประชด" คนขาย ให้รู้ว่า "กูก็มีเงินนะโว้ย" หรือ จ่ายเงินเพื่อความสงสารให้กับเด็กน้อยที่มาขอทาน โดยที่ไม่รู้เลยว่า มันเป็นอาชีพการแสดงประเภทหนึ่งเท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น

มองในแง่การจับจ่าย ช้อปปิ้งกันบ้าง เชื่อว่าหลายๆ คน (แม้กระทั่งผมเองก็ตาม) ที่มักจะเป็นโรคภูมิแพ้ "ป้ายลดราคา" เป็นอย่างยิ่ง เจอทีไร ถึงกับอ่อนแรง โดนดึงดูดไปโดยไม่ีรู้่ตัว (อันเนื่องมาจากจิตวิทยาอันชาญฉลาดของคนขาย ในการออกแบบ การใช้สีสัน หรือ ตัวเลขที่มาจูงใจ) แต่เมื่อกลับมาบ้านแล้ว ต้องมานั่งเซ็งตัวเองว่า "กูซื้อมาทำไมว่ะเนี่ย ของเก่ายังเหลือเพียบ" บางครั้ง กลายเป็นปัญหาครอบครัวก็ว่าได้

ซึ่งจากตัวอย่างข้างต้นนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะความรู้สึกเสียดายโอกาสที่จะพลาดของ (ที่คิดว่า) ถูก ครับ เพราะคนเรามักจะคิดว่า ครั้งหน้าอาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว จึงทำให้ตัดสินใจอย่างนั้น

หรืออีกประเด็นหนึ่งก็คือ การซื้อของที่ "ยังไม่เคยมี" อาจจะเพราะในอดีต เรายังไม่พร้อมที่จะซื้อ (เงินน้อย) แต่พูดตรงๆ คือ มันเป็นเรื่อง "คาใจ" ดังนั้น พอมีโอกาสแล้ว ก็จะซื้อไปโดยไม่ไตร่ตรองเลย เช่น การซื้อเครื่องประดับราคาแพง หรือ การจ่ายค่าอาหารบางมื้อ เพื่อสนองความอยากในอดีต เป็นต้น

เชื่อไหมละครับ ถ้าไปถามทุกคนตามตัวอย่างข้างต้นนี้ ร้อยทั้งล้านจะตอบว่าตัวเองได้ตัดสินใจอย่างถี่ถ้วน และรอบคอบทุกคนครับ

แต่อย่างนึงที่อาจจะลืมคิดกันไปคือ มัน "จำเป็น" หรือเปล่า

เราซื้อไปแล้ว จะได้ใช้เลยหรือไม่ ซื้อเพราะความกลัว แล้วทำให้รกห้องเก็บของเราเปล่าๆ ปลี้ๆ หรือไม่

เรามีตัวเลือกอื่นที่ใช้เงินน้อยกว่านี้หรือเปล่า เพื่อที่ว่าเราจะได้เอาเงินที่เหลือไปทำอย่างอื่นๆ ได้ต่อไป

ครับ ส่วนใหญ่มาคิดได้ ก็ตอนกลับบ้าน เอาของออกจากถุง ตอนนั้นแหละ

แต่ไม่ผิดหรอกครับ เพราะด้วยความยั่วยวนของสภาพแวดล้อมร้านค้า คำพูดโอ้โลมปฏิโลมของคนขาย ถ้าใจไม่แข็งจริงก็ยากที่จะปฏิเสธ

แต่หวังว่าครั้งต่อไป ทุกท่านคงมีสติและไม่พลาดท่าเสียทีต้องมานั่งเสียใจอีกต่อไป

ขอให้ทุกท่าานมีความสุข และ สติกับการใช้เงินที่เราต่างหามาครับ

No comments:

Post a Comment