มือนิ้วยาวไม่เท่า
เหมือนเช่นเรากับเขาที่เป็น
แตกต่างแต่ล้วนดี
*************************
เหมือนเช่นเรากับเขาที่เป็น
แตกต่างแต่ล้วนดี
*************************
ผมเป็นคนหนึ่งที่โตมาในครอบครัวที่มีสมาชิกมากมาย ตามแบบฉบับของครอบครัวคนจีนอพยพยุคที่ 2 ยุคที่อยู่รวมกับเป็นครอบครัวใหญ่ในบ้านเดียวกันหลายครอบครัว มีลูกหลานหลายคน และพ่อแม่ของพวกเราได้รับการศึกษาดีกว่ารุ่นบุกเบิก ใช้เสื่อแทนที่นอนเช่นรุ่นปู่รุ่นย่า ประมาณว่าเรื่องลอดลายมังกรที่เคยฉายไปนานแล้วก็ได้ครับ คล้ายกับครอบครัวคนไทยสมัยก่อนเหมือนกัน
มองในมุมหนึ่ง ก็ดูอบอุ่นและดีในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว
แต่อย่างหนึ่งที่ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงจะมีประสบการณ์ร่วมคือ "การเทียบลูกเขาลูกเรา" ครับ
ถ้ายังนึกไม่ออกจะดูเหตุการณ์นี้ประกอบก็ได้ครับ (นามสมมติทั้งนั้น)
แม่ 1) "เนี่ยผลสอบของตาโก้ ออกมาแล้ว แย่จัง ได้เกรด 3 มาตัวเดียว ที่เหลือ 4 หมด แล้วของตาแม็คละ เป็นไงบ้าง"
แม่ 2) "เอ่อ... ก็พอได้นะ ได้เกรด 3 มาตัวเดียวเหมือนกัน ที่เหลือเห็นแต่ 2 กับ 1 นะ สงสัยครูคงเขียนผิด แหะ แหะ"
แม่ 1) "ต๊าย ทำไมเป็นยังงี้เนี่ย เรียนห้องเดียวกันแท้ๆ แฟนเธอก็ออกจะเก่ง เธอต้องเข้มงวดหน่อยนะ จะให้ชั้นช่วยอะไรก็บอก เรามันคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจ..." (บลา บลา บลา)
พอนึกได้แล้วใช่ไหมครับ นอกจากเรื่องเรียนแล้ว ก็จะเป็นเรื่องอื่นๆ เช่น การกินการอยู่ สุขภาพ พัฒนาการทางร่างกาย จิปาถะครับ โดนกันถ้วนหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเด็กๆ อย่างเราที่ต้องมารองรับความคาดหวังจากผู้ใหญ่เหล่านี้ บนเหตุผลของ "ความหวังดี" ที่ลึกๆ แล้วต้องยอมรับว่ามีความสะใจ แฝงอยู่อย่างไม่รู้ตัวก็ตาม
จะมากจะน้อยขึ้นกับความใกล้ชิดของตัวพ่อตัวแม่ และวัยของเด็กด้วยครับ วัยเดียวกันก็ซวยหน่อย ความแตกต่างไม่ค่อยมี ซึ่งไปสร้างความกดดันและสงสัยให้เด็กแท้ๆ ว่า กูจะเป็นแบบนี้ไม่ได้หรือไงวะ ตอนออกมาก็มาจากคนละมดลูกนี่หว่า (ตอบอย่างนี้ อนาคตต้องแพทย์แน่นอน)
ผู้ใหญ่เหล่านี้เองคงไม่ได้จะตั้งใจจะซ้ำเติมกันขนาดนั้น บ้างก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ตามชุดสนทนาสำเร็จรูป แต่รูปแบบสังคมเราเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งเด็กในตอนนั้นก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในตอนนี้ ก็เริ่มกลับมาตั้งคำถามและส่งเสียงดังๆ กันบ้างแล้ว
ไม่อย่างนั้น เราคงไม่เห็นโรงเรียนทางเลือกแบบต่างๆ หรือ วิธีการสอนแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง ให้เรียนรู้กันเองเหล่านี้หรอกครับ นี่ก็เป็นทางออกอย่างหนึ่ง
แต่สำหรับเด็กหรือตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า "ลูก" ของเราเอง เราจะสอนเขาอย่างไรดี
อย่างแรก ต้องบอกเขาว่า คนแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ไม่มีใครที่เหมือนกัน แต่ทุกๆ คนสามารถ "เลือก" ที่จะเป็นได้ บางคนอยากเป็นตำรวจ อยากเป็นหมอ อยากเป็นวิศวะ หรืออยากเป็นยามก็แล้วแต่ความรักในดวงใจของแต่ละคน
ถัดมา คนเป็นพ่อแม่ต้องยอมรับด้วยนะครับ ว่าปัจจุบัน ชีวิตเราพบการเปรียบเทียบ การแข่งขันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่ปฏิสนธิ จนกระทั่งการจองที่นอนบนเชิงตะกอน เราจะไปแก้ตัว หรือแก้ต่างให้ลูกเราไม่ได้ตลอดหรอกครับ เงาเรายังต้องพักตอนพระอาทิตย์ตกดินเลย
เมื่อยอมรับแล้วว่า การแข่งขันการเปรียบเทียบมันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง ก็สอนให้เด็กเขาเข้าใจสิครับ ให้เขาเห็น "ด้านบวก" ของการเปรียบเทียบว่า มันเป็นมาตรวัดอย่างหนึ่งที่จะทำให้เขาพัฒนาขึ้น ทำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าเดิม ยอมรับว่าทุกอย่างมีแพ้ มีชนะ แพ้แล้วก็กลับไปฝึกฝนใหม่ ปรับปรุงวิธีการต่างๆ ให้ดี ให้ต่างออกไป ไม่จำเป็นต้องกลุ้่มใจ ทำหน้าย่นไม่สมกับวัย เครียดไปเปล่าๆ
อีกประเด็นที่สำคัญคือ สอนให้เขานอบน้อมที่จะรับฟังความคิดเห็น และคำวิจารณ์ สอนให้เขา "คิด" ว่าสิ่งที่ "คนพูด" พูดมานั้น เขามีความรู้ หรือประสบการณ์มากพอที่จะวิจารณ์หรือไม่ และ "เนื้อหา" ที่เขาพูดมันสมเหตุสมผล เชื่อถือได้หรือเปล่า เพราะทุกวันนี้ คำแนะนำบางอย่างก็ยิ่งกว่าแอปเปิ้ลพิษอีกนะครับ (อืม จะรู้ไหมหนอ ว่าพูดถึงเรื่อง สโนไวท์ แล้วสมัยนี้เขาจะยกตัวอย่างอะไรกันนะ)
ประกอบกับถ้าเราสอนเด็กๆ ให้เข้าใจและมองเรื่องเหล่านี้ในทาง "บวก" ด้วยภาษาหรือตัวอย่างง่ายๆ ก็ไม่ต้องกลัวแล้วละครับ ว่าคราวหน้าจะเศร้าใจว่าใครจะมาพูดอย่างไร
เพราะเขาได้รับภูิมิคุ้มกันที่ชื่อว่า "ปัญญา" และ "ความรัก" จากพวกเราไปแล้วไงครัีบ
บรรยายได้น่าอ่าน และ มันเป็นตรรกะที่ไม่สามารถปฎิเสธ เด็กวันนี้ คือ ผู้ใหญ่ในวันหน้า อยู่ที่การอบรบสั่งสอน สภาพแวดล้อม และ ผู้คนที่มีเจตนา (ดีๆ)คอยตักเตือน บางตอนอ่านแล้วก็สะเทือนใจ (ส่วนตัว)นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหรือเปล่า กับที่บอกว่า นิ้วที่ยาวไม่เท่ากัน? ใครช่วยตอบที..
ReplyDelete