January 28, 2010

มองมุมเหม่ง > เปลี่ยนงาน เปลี่ยนชีวิต (Change)

เปลี่ยนงานเปลี่ยนที่ใหม่

เพื่ออะไรตอบได้หรือเปล่า

งานหนักเบาเอาไหม??

**********************

ตอนแรกว่าจะหยิบเรื่องอื่นขึ้นมา "มอง" ก่อน แต่หลังจากที่คุยกับน้องที่โทรมาปรึกษาเรื่องที่จะเปลี่ยนงานก็เลยต้องลัดคิวให้ก่อนที่จะลืมไปกับสายลมครับ

คำถามหลักๆ ที่น้องสงสัยคือ จะเรียก "เงินเดือน" เท่าไรดี เสนอไปตัวเลขนึง แต่ฝ่ายบุคคลก็ "กด" ลงมาตามธรรมเนียมปฏิบัติ แล้วจะเอาไงดีเอ่ย

บอกไปว่า โปรดใจเย็น น้องชายใจเย็นไว้ก่อน จะรีบร้อนไปถึงตอนสำคัญไปไย เกิดพลาดท่าสรุปตัวเลขไปแล้ว จะถอยลำบากนะ เรามีข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจครบถ้วนหรือยัง

อย่างแรก หลายๆ คนไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่ผมคิดว่าจำเป็นอย่างยิ่ง คือ "การประเมินตนเอง" ก่อนครับ
อย่าลืมนะ ซุนวู ว่าไว้ "รู้เขา รู้เรา รบร้อยชนะร้อยเอ็ด" เราควรจะรู้ก่อนว่า จุดแข็ง จุดอ่อนเรา (ในเรื่องงานนะ) มีอะไรบ้าง เราถนัดในเรื่องไหน ต้องปรับปรุงเรื่องอะไร แล้วจะปรับปรุงเสร็จเมื่อไร หรือ ถ้าปรับไม่ได้ จะทำอย่างไร บางทีการที่ "รู้" ว่าเรามีจุดอ่อนอย่างไร ก็ไม่เป็นจุดอ่อนหรอกครับ

ส่วนขั้นตอนในการต่อรองนั้น เริ่มจาก คุยรายละเอียดงานให้ชัดเจนก่อน ดูว่าจาก รายละเอียดงาน (Job Description) เป็นอย่างไร มีข้อสงสัยอะไรไหม ส่วนใหญ่แล้วเขียนกันแบบกว้างๆ ให้ปลอดภัยไว้ก่อน ตรงนี้เป็นจุดดีที่เราจะซักให้ละเอียด และเป็นช่องทางในการต่อรองได้มากขึ้น เช่น เป็นงานด้านฝ่ายออกแบบเทคนิค ต้องออกไปคุมงานข้างนอกหรือไม่ ต้องออกไปหาลูกค้าหรือเปล่า จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศไหม ฯลฯ เหล่านี้ก็จะทำให้ความเข้าใจงานชัดเจนมากขึ้น ในอนาคตจะมา "มั่วๆ" ก็คงลำบาก

จากรายละเอียดงาน เราย้อนกลับไปดู ความก้าวหน้าก่อน ว่างานตรงนี้โอกาสเติบโตมากน้อยแค่ไหน ในสายงานของเรา หรือว่า ถ้าจะข้ามสายงานไปตำแหน่งอื่นๆ นั้น ยากง่ายอย่างไร เช่น จากตำแหน่งวิศวกรออกแบบ จะข้ามไปเป็น วิศวกรโครงการ หรือ ดูแลฝ่ายผลิตได้หรือไม่ ยิ่งมีทางเลือกมาก ยิ่งดีครับ ตรงนี้ถ้าได้มีโอกาศคุยกับหัวหน้างานโดยตรงจะดีมาก หรือจะดูให้ละเอียดถึงระดับแม่ ลองพิจารณาความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมนั้นๆ เหมือนครั้งหนึ่งที่ วิศวกรในสายโทรคม กลายเป็นมนุษย์ทองคำ เมื่อประเทศไทยเปิดเสรีโทรคมนาคมไงครับ

แต่ความก้าวหน้านี้ ขึ้นกับเป้าหมายของเราด้วย ว่าเราต้องการทำงานอย่างน้อยกี่ปี ต้องการเรียนรู้อะไรบ้าง และบริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาพนักงานอย่างไร เพราะบางที่เงินเดือนน้อยก็จริง แต่เป็นเหมือน "โรงเรียน" ชั้นดีที่จะฝึกเราให้ก้าวหน้าในอนาคตครับ เช่น เครือปูนฯ หรือ ปตท. เป็นต้น

ส่วนบรรยากาศในการทำงาน หรือว่าหัวหน้า, เพื่อนร่วมงานนั้น ผมไม่ค่อยซีเรียสมากนัก อยู่ที่ตัวเราจะสร้างบรรยากาศ หรือปฏิสัมพันธ์กันอย่างไรมากกว่า

ต่อไปก็เป็นเรื่ององค์ประกอบของผลตอบแทนครับ นอกจากเงินเดือนพื้นฐาน, โบนัสหรือคอมมิสชั่นจ่ายอย่างไร มีค่าน้ำมันรถ ค่าโอที และค่ารักษาพยาบาล ที่ว่าครอบคลุมไปถึงคนที่บ้านเราหรือไม่ แล้วมีอะไรที่พิเศษกว่าที่เดิมของเราไหม บางที่ให้ทำฟัน หรือตัดแว่นได้ หรือให้เงินช่วยงานศพ งานแต่ง เหล่านี้ต้องลิสต์รายการออกมา แล้วให้คะแนนว่าตัวไหนจำเป็น หรือสำคัญต่อการต่อรองหรือไม่

อย่างหนึ่งที่หลายคนมักละเลย คือเรื่องของ "เงินสำรองเลี้ยงชีพ" ครับ เงินก้อนนี้เหมือนเป็นเงินพิเศษที่บริษัทจะช่วยเราออมให้ บางที่ให้สูงสุดถึง 10% คิดแล้วก็ไม่น้อยนะครับ

นอกจากผลตอบแทนดังว่าแล้ว ลองถามถึงเรื่องอัตราการขึ้นเงินเดือน หรืออัตราการจ่ายโบนัส "ย้อนหลัง" ดูสิครับ ว่าถ้าเราอยุ่ไปนานๆ แล้วจะมัวมานั่งเสียดาย หรือเสียใจหรือไม่

และเมื่อไปต่อรอง (หรือเรียกให้หรูว่า "สัมภาษณ์รอบสอง สาม สี่" นั้น) อยากให้ทุกท่านพกพา "ความมั่นใจ" ไว้ที่กระเป๋าเสื้อข้างซ้ายด้วยนะครับ อย่าคิดว่าตัวเองห่วย หรือ ไม่มีทางเลือกแล้ว อาการอย่างนี้ เข้าทางฝ่ายบุคคลมากครับ โอกาสที่จะขยำ และขย้ำ เพื่อที่จะแสดงว่า "ข้านะเจ๋งนะโว้ย กดมันซะจมเขี้ยวขนาดนี้" แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกร่างกันเกินสมควร ธรรมเนียมไทย ไปมาลาไหว้ นอบน้อมไว้ ก็ยังใช้ได้ดี

อย่าลืมนะครับ พอจบการต่อรองแล้ว โอกาสที่จะไปเรียกร้องอะไรมากกว่านั้น มันยากยิ่งนัก ถ้าฝ่ายบุคคลถามว่า ทำไมเรื่องมากนัก ตอบเขาด้วยน้ำเสียงชวนฝันนิดนึงว่า "คุยกับพี่ให้เคลียร์วันนี้ ผมจะได้ตั้งใจทำงานอย่างเดียวให้เต็มที่ไงครับ" (น่าน เอาไปอีก 2 คะแนน)

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จากประสบการณ์นิดๆ หน่อยๆ ของผู้เขียนเอง หวังว่าคงไม่เป็นการเสียเวลาของท่านสังฆราชทั้งหลายนะครับ

และขอให้ทุกท่านได้งานที่ถูกใจ กับรายได้ที่คุ้มค่า เพื่อคุณภาพงานที่เกินราคาครับ

No comments:

Post a Comment