February 10, 2010

มองมุมเหม่ง > ดอกไม้ที่หายไป (Where have all the flowers gone?)

ตอนอยู่ไม่รู้ค่า
พอเธอลาเป็นว่าคิดถึง
ทำไมไม่พึ่งตัวเอง
*******************

สองสามสัปดาห์มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ แต่ส่งผลกระทบใหญ่ๆ ในที่ทำงานของผมครับ

มีการเปลี่ยนตัวแม่บ้านคนใหม่ จากบริษัทใหม่ ด้วยเหตุผลที่บางคนอ้างถึงเรื่อง "งบประมาณ" หรือ "คุณภาพงาน" อะไรประมาณนั้น

แม้ว่า คนเดิมที่อยู่กับเรามานานพอสมควร จนจดจำรสนิยมของคนในบริษัทได้ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติกาแฟของนายใหญ่ หรือ น้ำชาบูชาพระของผม เมนูกลางวันของอีกหลายๆ คนที่มักจ้างแกไปซื้อให้ ฯลฯ

จะว่าไป เรื่องเหล่านี้ ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร แค่คนหนึ่งมา แล้วอีกคนหนึ่งไป ตามวัฏจักรของงาน ของชีวิต
จะมีนิดนึง ที่หลายๆ คนคิดว่าแกทำตัว "คุ้นเคย" มากเกินไป

กลับมานึกๆ ดู เรื่องนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นแค่ที่นี่ หรือเป็นเรื่องของบุคคลใดคนหนึ่ง จำได้ว่า ตอนเด็กๆ ที่บ้านจะมีคนทำงานบ้านหลายคน แรกๆ ก็จะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดี แต่พออยู่ๆ ไปเริ่มรู้จัก เริ่มคุ้นเคย สิ่งที่เป็นตัวตนก็จะแสดงออกมา ทำอะไรแล้วนายไม่ว่า ก็จะเลยตามเลย ซึ่งบางอย่างก็ไม่เหมาะสม

อันนี้ ผมว่าขึ้นกับคนที่เป็นเจ้านายด้วย ว่าจะดูแลปกครองอย่างไร เป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาเกรงใจ และเคารพหรือไม่

กลับมาที่ออฟฟิศผมอีกครั้ง แม่บ้านคนใหม่ที่มาแทน อยู่ได้สองวันก็ไม่มาอีกเลย อ้างว่า งานที่นี่มันเยอะกว่าที่เดิม เพราะที่เก่าแกเป็นออฟฟิศเล็กๆ คน 6-7 คน แต่ที่นี่เรามีกว่าครึ่งร้อย ก็เทียบกันไม่ได้

เดือดร้อนฝ่ายบุคคลต้องมาช่วยเก็บกวาด ล้างจาน พร้อมกับออกประกาศเวียนทั่วบริษัท ให้พนักงานทุกคนรับผิดชอบแก้ว จานชาม ของตนเอง

อ่านแล้วก็อย่าขำละกัน ว่าทำไมต้องมานั่งปากเปียกปากแฉะกันอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะว่าทุกคนจะมีความรับผิดชอบที่เท่ากัน บางคนกินเสร็จก็ทิ้งกองไว้อย่างนั้น เหมือนว่าเอาคนใช้หรือคนทำงานบ้านติดตัวมาจากบ้านด้วย หรืออาจจะคิดไปว่าการมีคนช่วยล้างจานชามช้อนนั้น เป็นสวัสดิการอีกอย่างที่บริษัทต้องจัดเตรียมไว้ให้

ย่อหน้าข้างบนเขียนเหน็บๆ นะ แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

คิดเล่นๆ แบบสุดโต่งว่า สุดท้ายเมื่อไม่มีใครเก็บ ไม่มีใครล้าง คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คงจะลุกขึ้นมาจัดการ พร้อมกับเสียงบ่น หรือเป็นภาพที่ ต่างคนต่างทำ ความวุ่นวายก็จะกลับเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ พร้อมกับระเบียบใหม่ในสังคมที่อยู่ร่วมกันว่า กรรมใดใครก่อ คนนั้นรับผิดชอบ

มองในภาพใหญ่ สังคมเราเป็นอย่างนี้จริงๆ บางทีสิ่งที่แก้ไขปัญหาได้อาจจะไม่ใช่ฮีโร่ หรือวีรบุรุษที่ไหน แต่เป็น "กาลเวลา" นั่นเอง

No comments:

Post a Comment