November 6, 2011

เรียนจากหนัง > King of Baking – Kim Tak Goo (2010) ครบเครื่องดรามาเกาหลีแท้ๆ



ในมุมบวกของเหตุการณ์น้ำท่วม ผมเลือกหนังเรื่องนี้มาเปิดให้คุณแม่ทัศนาแทนสายน้ำ และข่าวสารที่ไหลบ่าล้นมาแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่คาดว่ามันน่าจะมีอะไรคล้ายๆ กับ แดจังกึม ได้บ้าง หลังจากที่สั่งซื้อมานานหลายเดือน และเลือกเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำขนมที่กำลังสนใจอยู่ด้วย

หลังจากดูกันอย่างเอาการเอางาน 30 ตอน 30 ชั่วโมง ภายในระยะเวลาประมาณ 4 วัน ก็เป็นอีกครั้งที่เข้าใจผิดอย่างจังเบลอ เพราะซีรี่ย์เรื่องนี้ ไม่แค่เพียงมีเรื่องการทำขนมปังเพียงอย่างเดียว ยังผสานเรื่องราวสุดคลาสสิคของ แม่ผัว-ลูกสะใภ้, พี่น้องต่างพ่อแม่, เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด, ฟ้าลิขิตอาจารย์ศิษย์, รักสามเศร้า เขาฉันเธอ รวมถึงแง่มุมการบริหารธุรกิจครอบครัว จนถึงประวัติศาสตร์วิถีชีวิตคนเกาหลีในยุค 60-90 ด้วย เรียกได้ว่า เรื่องเดียว จัดครบ จนไม่ต้องแปลกใจไปว่า เมื่อเริ่มฉายตั้งแต่ มิถุนายน ถึง กันยายน ปีที่แล้ว (2553) ละครเรื่องนี้ครองอันดับเรตติ้งสูงสุดของเกาหลี (ตอนแรก 15.7% ไต่ระดับไปเรื่อยจน ตอนจบ 50.8%) และทาง KBS ต้นสังกัดก็ได้นำเผยแพร่ทั่วโลกในชื่อ Bread, Love and Dreams แล้วครับ

เนื้อเรื่อง (พยายามจะเขียนให้กระชับที่สุดแล้วนะ) เริ่มตั้งแต่ อินซุก (Jun In Hwa) สะใภ้ตระกูลกู ยังไม่สามารถมีลูกชายให้แม่สามี คุณนาย ฮอง (Jung Hye Sun) ปลื้มใจได้ จึงเป็นชู้กับเพื่อนสามี (และลูกน้อง) คือ ผจก. ฮัน (Jung Sung Mo) จนได้ลูกชาย มาจุน (Shin Dong Woo - ตอนเด็ก / Joo Won – ตอนโต) เป็นลูกชายคนเล็กเพื่อสืบทอดสมบัติของตระกูล

ในขณะเดียวกันสามี อิลจอง (Jun Kwang Ryul – หมอโฮจุน) ด้วยความสนับสนุนจากแม่สามี ก็มีอะไรกับพยาบาลในบ้าน คิม มิซุน (Jun Mi Sun) ซึ่งเมื่ออินซุกทราบเรื่องก็ไล่ออกไป หลังจากนั้นมิซุนเองก็คลอดลูกเป็นเด็กชายชื่อ คิม ทัคกู (Oh Jae Moo – ตอนเด็ก / Yoon Si Yoon – ตอนโต) แต่เมื่อ ผจก. ฮันที่ตามไปฆ่า เกิดความสงสารจึงปล่อยไป โดยกำชับว่าอย่าให้มาเจอตระกูลนี้อีก

ครับ แล้วก็เป็นไปตามขนบละครเกาหลี คิม ทัคกู โตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีจิตใจดี แต่โชคชะตา ฟ้าลิขิต (โดยผู้กำกับ) ทำให้เขาได้มีโอกาสมาเจอพ่อของเขาอีกครั้ง แต่ฟ้าก็ไม่เมตตา ส่งให้ ผจก. ฮัน มาคอยตามล่า ตามไล่ให้ไกลๆ ครอบครัวนี้ แต่สุดท้าย คิม มิซุนเห็นว่า ถ้าเอาแต่หนี ก็ต้องหนีไปตลอดชีวิต เธอจึงตัดสินใจส่ง ทัคกู เข้าถ้ำเสือเสียเลย โดยเปิดตัวให้สามีและแม่ผัวได้รับรู้ ซึ่งทั้งสองคนก็ดีใจมาก (ระหว่างนี้เข้ามาประมาณตอนที่ 3 หรือ 4 แล้ว เห็นแค่ฉากทำขนมปัง แค่ฉากเดียวเอง คนดูคงเริ่มงง แต่หนังเองก็สนุกจนด่าไม่ออก เอ้า ดูต่อไป)

ถ้าเป็นหนังไทย พล็อตก็น่าจะวนเวียนในครอบครัว ให้พระเอกโตขึ้นมา ประมาณนั้น แต่เนื่องจากเป็นละครเกาหลี ทัคกู จึงโดน ผจก. ฮัน หลอกให้ออกจากบ้านอีกครั้ง เพื่อตามหาแม่ ที่โดนใครไม่รู้จับตัวไป โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องไม่กลับมาที่นี่อีก

เป็นเวลา 12 ปีที่เขาต้องออกตามหาแม่ โดยมีเบาะแสคือ ผู้ชายที่มีรอยสักรูปกังหันลม (ถึงตอนนี้ อารมณ์หนังเหมือนจะเปลี่ยนไปอีกเรื่อง) ทำให้เขาต้องกลายเป็นคนที่ก้าวร้าว แข็งแกร่ง จนสุดท้าย ก็มาจบที่ร้านขนมปัง พัล บอง (น้ำเน่าไหลหลากอีกกับมุขที่ว่า เจ้าของร้านพัล บอง (Jang Hang Sun) คืออาจารย์ของพ่อเขาเอง)

เรื่องราวหลังจากนั้น ทัคกู ก็ได้เรียนรู้ชีวิต ได้เจอกับอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามา ทั้งในเรื่อง ความรัก, การเรียนรู้เรื่องขนมปัง, ครอบครัว และ ธุรกิจ ซึ่งก็มีสมหวัง ผิดหวัง ร้ายเจ็ดที ดีเจ็ดหน ปะปนกันไปครับ ขอเล่าเรื่องแค่นี้ละกัน อยากให้ไปดูกันเอง ว่าละครที่ทำเรตติ้งถึงครึ่งร้อย มันมีอะไรน่าสนใจบ้าง แต่ที่สรุปได้หลักๆ คือ

อย่างแรก คือ การวางพล็อตหนัง ครับ ต้องให้เครดิต ผู้กำกับ (Lee Jung Sub – ผลงาน Hong Gildong จอมโจร โดนใจ) และ คนเขียนบท (Kang Eun Kyung) จัดส่วนผสมได้กลมกลืน ครบรส เหมือนหนังย่อยๆ หลายๆ เรื่องมารวมกัน ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เพราะมีโอกาสที่จะออกทะเลอยู่สูง (หนังเรื่องนี้ก็มีบ้าง แต่แบบเกือบๆ นะครับ) แล้วการทิ้งท้ายของแต่ละตอน ก็ดึงผู้ชมอยู่หมัดเช่นกัน

จากบทหนังก็มาถึงการเลือกนักแสดง หนังหลายๆ เรื่องที่มีตัวละครตอนเด็ก แล้วมาตอนโต มักจะตกม้าตายกันตรงนี้ ตรงที่หน้าไม่ค่อยจะสมพงศ์กันเท่าไร แต่เรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ความใกล้เคียงของตอนเด็ก หรือ ตอนโต ยังเชื่อมโยงไปถึงตัว พ่อ แม่ ลูก ให้คล้ายและใกล้เคียงกันด้วย รวมไปถึงการแสดงของตัวละครทุกคน ไม่น่าเชื่อว่า ตัวละครหลักบางคน เพิ่งเล่นเรื่องนี้เป็นครั้งแรก (เฉลยตอนท้ายบทความครับ)

ถัดมาจะเป็นเรื่องของอุปกรณ์ประกอบฉาก และ ฉากหลังต่างๆ เนื่องจากระยะเวลาในหนังประมาณ 30-40 ปี รายละเอียดเหล่านี้ ทีมงานพิถีพิถันมาก ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า แฟชั่น รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ การตกแต่งบ้าน อาคารสำนักงาน ซึ่งถ้าเราสังเกตไประหว่างที่ดูหนัง ก็สนุกดีครับ ไม่แปลกใจเลยที่ละครจะได้รับรางวัลส่งเสริมวัฒนธรรมดีเด่น จากประธานาธิบดีเกาหลีใต้เมื่อปลายปีที่แล้วด้วย

แต่สาระใหญ่ที่ละครได้สอดแทรก เข้ามา น่าจะเป็นเรื่องของการมองโลก มองปัญหาครับ เพราะถ้ามองทัคกูเป็นศูนย์กลางของเรื่อง เราจะได้ข้อคิดจากคนรอบๆ ข้างตัวเขา ในมุมมองต่างๆ ทั้งจากคนดีหรือเลว ไม่ว่าจะเป็นคำสอนของแม่ เรื่องความอดทน หรือเมื่อเจอพ่อเขาครั้งแรกกับคำสอนเรื่องการยอมรับผิด แม้กระทั่งตัวร้าย ผจก. ฮัน เอง สิ่งที่เขาพูดกับทัคกุ เรื่องฐานันดร หรือ ชนชั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็คือความจริงในโลกนี้เช่นกัน หรือจะเป็นปรัชญาจากการทำขนมปัง ที่คุณต้องทำด้วยความรัก ด้วยความสุข ถ้าหากคนทำเองไม่มีความสุขแล้ว คนทานหรือลูกค้าจะมีความสุขได้อย่างไร หรือ ความซื่อสัตย์ ทั้งต่อตัวเอง และต่อลูกค้า คนรอบข้าง

ไม่ใช่แค่ทัคกูคนเดียวที่มีปัญหา แต่แทบจะทุกตัวละครที่มีปัญหาของตนเอง ซึ่งต่างคนก็คิดว่า “มันใหญ่มาก” ทั้งนั้น ซึ่งถ้าหากเขาได้รับทราบปัญหาของคนอื่นๆ แล้ว บางทีเรื่องหนักอกของเขามันแทบจะไร้ความหมายไปเลยทีเดียว เช่น ตอนที่ทัคกู ถาม มาจุน ว่า มาโกรธเกลียดเขาเพื่ออะไร ทั้งๆ ที่ความรู้ก็สูงกว่า รวยกว่า แต่เพียงเพราะ ทัคกู สามารถมีชีวิตที่ตามใจตัวเองได้ ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของเขาเอง ซึ่งมาจุนไม่ได้รับ เป็นต้น

หรือ ถ้าผู้ชมเป็นคนกลางคนที่มีครอบครัวแล้ว ยิ่งมีประสบการณ์ในครอบครัวใหญ่ๆ ก็น่าจะเข้าใจถึงวิธีการอบรมดูแลเด็กๆ เช่นกัน ไม่ผิดที่เราบอกว่า เด็กเริ่มต้นที่เป็นผ้าขาว แต่จะโตมาเป็นศิลปะที่สวยงาม หรือ เลอะเทอะเป็นผ้าขี้ริ้วก็ขึ้นกับการดูแล ปั้นแต่งจากพ่อแม่นี่แหละครับ มาจุนเป็นเด็กฉลาดที่โตมาด้วยความอิจฉา ริษยาของแม่ ทำให้กว่าที่เขาจะเข้าใจและมีความสุขในชีวิตก็เกือบจะสายไป

ไม่ใช่แค่ตัวละครหลักเท่านั้น ตัวละครอื่นๆ ก็ได้รับน้ำหนักที่ไม่น้อยไปกว่ากัน อย่างบทของผู้บริหารหญิง ที่สมัยก่อนโน้นไม่ได้รับการยอมรับในสังคม ก็ถูกกล่าวถึงอย่างจริงจังเช่นกันครับ ซึ่งถ้ามองในมุมธุรกิจแล้ว หนังก็พูดถึงการกอบกู้ธุรกิจในภาวะวิกฤต การคอร์รับชันในองค์กร เราจะป้องกันอย่างไร การเก็บข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ตลาด การวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึง การบริหารจัดการคู่ค้าด้วย โดยทัคกูได้แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรามีความตั้งใจ และ จริงใจ ก็สามารถแก้ไข และฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ ไปได้ครับ

เนื้อหาคราวนี้ ค่อนข้างจะยาวไปหน่อย ผมคงบรรยายได้ไม่หมด แต่รับรองว่า ถ้าได้ดูแล้ว ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

ฝากรูปโปรโมทละคร และ รูปนักแสดงหลังปิดกล้องมาให้ดูด้วยครับ (ขอบคุณ KBS / NEWSIS)

*********************************************

หมายเหตุ 1 / เฉลยว่าใครเล่นเรื่องนี้ครั้งแรก - Oh Jae Moo(ทัคกู ตอนเด็ก), Joo Won (มาจุน ตอนโต) ดูฝีมือแล้วไม่น่าเชื่อนะครับ

หมายเหตุ 2 / รางวัลที่ได้รับ

  • 2010 KBS Drama Awards: Top Excellence Award - Actress (Jun In Hwa)
  • 2010 KBS Drama Awards: Excellence Award, Mini Series - Actor (Yoon Shi Yoon)
  • 2010 KBS Drama Awards: Excellence Award, Mini Series - Actress (Eugene)
  • 2010 KBS Drama Awards: Writer Award (Kang Eun Kyung)
  • 2010 KBS Drama Awards: Youth Actor Award (Oh Jae Moo)
  • 2010 KBS Drama Awards: Best Couple Award (Yoon Shi Yoon and Lee Young Ah)

November 5, 2011

มองมุมเหม่ง > บางเทคโนโลยีกับน้ำท่วม


สภาวะน้ำท่วมปี 2554 ที่เรียกได้ว่า "มหาวิบัติ อุทกภัย" (ไม่ใช่ชื่อหนัง box office แต่มันคือชีวิตจริง) นั้นส่งผลกระทบและก่อนให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง เพียงแต่ถ้าผู้นำที่รับผิดชอบมีการบริหารจัดการ การสื่อสารที่ถูกต้อง เชื่อว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นคงไม่มากขนาดนี้

อย่างหนึ่งที่ค่อนข้างหงุดหงิด (นอกจากการแจ้งเหตุ และการวางแผนรับมือมวลน้ำ) คือมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ไม่เป็นเอกภาพทั้งภาครัฐและเอกชนภาพที่เราได้เห็นผ่านทีวีคือ การที่หน่วยงานต่างๆ แห่กันไปยังพื้นที่บางพื้นที่ ล่องเรือแล้วก็แจกอาหาร ถุงยังชีพให้กับชาวบ้านที่เดิน (หรือว่ายน้ำ) ออกมาลอยคอรอรับกัน คำถามที่เกิดขึ้นคือ

1) มีชาวบ้านเท่าไรกันแน่ ที่ติดอยู่ตามบ้านเรือน ตามพื้นที่ต่างๆ และไม่สามารถออกมาได้

2) ชาวบ้านบริเวณไหนที่ได้รับการช่วยเหลือซ้ำซ้อน แต่ในบางพื้นที่ยังไม่ได้รับอะไรเลย

3) สิ่งที่ชาวบ้านเขาต้องการมากกว่า มาม่า อาหารแห้ง คืออะไรบ้าง ยารักษาโรค ฯลฯ

4) ผู้ประสบภัยจะสามารถติดต่อโลกภายนอกได้อย่างไรบ้าง

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ มองในมิติการกระจายความช่วยเหลือ แต่ถ้ามองย้อนไปยังขั้นตอนการรับบริจาค การรวบรวมความช่วยเหลือจากผู้ที่มีจิตศรัทธาแล้ว ยังชวนหดหู่เป็นอย่างยิ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศเราไม่เคยเกิดปัญหาแบบนี้ (ต่างกันที่ความหนักเบา) แต่การแก้ไขก็เป็นอย่างขอไปที ซ้ำไปซ้ำมา

แล้วมันน่าจะทำอะไรได้ดีกว่าบ้าง

ก่อนที่น้ำท่วมจะมาถึง รัฐบาลควรมีการแจ้งเตือน สื่อสารกับประชาชน ถึงความเสี่ยงในระดับต่างๆ และแผนการรองรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัว และไม่ตื่นตระหนกเกินไป อย่าลืมว่า ความไม่รู้ นำไปสู่ความกลัว และกลายเป็นความโกลาหล (ทั้งการกักตุนอาหาร การแย่งที่จอดรถ การรวมกลุ่มทำลายคันกั้นน้ำ ฯลฯ)

และเมื่อน้ำมาแล้ว ผู้ประสบภัยเหล่านั้น ควรที่จะสามารถ “ลงทะเบียน” เพื่อยืนยันตำแหน่งที่อยู่ หรือเป็นช่องทางในการติดต่อกับภาครัฐ จะเป็นการโทรมาเพื่อแจ้ง, SMS หรือระบบยืนยันตำแหน่ง GPS

ทั้งนี้แล้ว ภาครัฐก็จะทราบจำนวนผู้ประสบภัยทั้งหมดได้ พร้อมทั้งสามารถวางแผนการช่วยเหลือได้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าว จะทำให้ทราบว่าแต่ละพื้นที่ มีความต้องการอะไรบ้าง เพื่อจัดเป็นศูนย์กลางของความช่วยเหลือ และบริหารจัดการสิ่งของต่างๆ ที่ได้รับบริจาคมาอย่างได้ประโยชน์ที่สุด

แล้วใครควรจะทำ และ ที่ว่ามาสามารถทำเลยได้ไหม

ว่ากันเรื่องเทคโนโลยีก่อน จากที่กล่าวมาไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเลย ในภาวะที่เมืองไทยจะเป็นประเทศ 3G อีกไม่นาน เพราะทั้งโทรศัพท์ SMS, GPS เหล่านี้เป็นเรื่องพื้นๆ ไปแล้ว ปัญหาที่น่าปวดหัวคือ ใครจะเป็นเจ้าภาพ จะขอความร่วมมือจากกระทรวงต่างๆ (ไอซีที, มหาดไทย, สาธารณสุข ฯลฯ) ให้ประสานงานกันได้อย่างราบรื่นอย่างไร

ตราบใดที่เรายังมีผู้นำที่พร่องความสามารถเช่นนี้ ไอเดียที่ว่าก็คงเป็นเพียงความคิดลอยๆ เท่านั้น

น่าสงสารประเทศไทยเสียจริง

October 22, 2011

มองมุมเหม่ง > ฝันร้ายกับป้ายเหลือง (The more be Quick, The less quality)

-- เป็นประวัติศาสตร์ส่วนตัวครั้ง 1 ในชีวิตที่น่าจะพอสะท้อนอะไรบางอย่าง หรือจะเป็นอุทาหรณ์กับคนอื่นๆ ได้บ้าง --

เล่าเรื่องนี้เพื่อแชร์ประสบการณ์ความเศร้าครับ อย่าได้พลาดเหมือนผมละกัน --\ /-- --\ /-- --\ /--

เมื่อ เดืิอน มีนา - สตาร์ทรถไม่ค่อยติด แต่เนื่องจากเห็นโฆษณา และประทับใจกับการบริการสาขาที่ใกล้ที่ทำงาน เลยขับไปสาขาใกล้บ้านแทน ช่างบอกว่าแบตฯ พี่หมดอายุ เลือกแบต ยัวซ่า มาให้ ขนาดกระแส ตรงกับรถยุโรปอย่างเรา เปลี่ยนไป 3 พันกว่าๆ ไม่ถูกแต่คิดว่าสบายใจ


เดือน เมษา - ลาบวช ส่วนใหญ่จอดรถไว้เฉยๆ แต่ที่บ้านมีเอาไปใช้บ้าง พฤษภาฯ กลับมา ขับได้สักพัก รถเริ่มสตาร์ทไม่ติด หรือ บางทีไฟตกต่ำกว่า 10 โวล์ท (โชคดี A6C5 มีัเกจ์์วัดมาให้) ประสาทรับประทาน คิดว่าเป็นตั้งแต่ ไดชาร์จ ไดสตาร์ท ฯลฯ ไปหาหมอ 2-3 ที่ ไม่คิดว่าแบตที่เพิ่งเปลี่ยนจะเป็นสาเหตุ เครียด แต่ไม่ถึงกับกินเหล้า ผู้รู้บางท่านบอกว่าน่าจะเป็นที่แบต
(ตรูไม่อยากเชื่อ )

ทำให้ช่วงนั้นมีสายพ่วงแบตเป็นเครื่องประดับประจำกาย เท่มากสำหรับรถเยอรมัน อย่างออดี้เวลาโบกแทกซี่เพื่อขอพ่วงแบต shock shock shock

กลับไปหารือพี่เลิศ A8 แกบอกง่ายๆ "เอาแบตเก่าผมไปใช้ก่อน ถ้าไม่มีอาการเหมือนที่เป็น แบตคุณเสื่อมชัวร์" เห็นสภาพแบตพี่เขาแล้วตกใจ แต่คำพระว่าไว้ อย่าประเมินแบตฯ จากภายนอก
ไฟแรงตั้งแต่วันแรก จนวันจากลา (ประมาณ อาทิตย์นึง)


และ แล้วก็ได้เวลาบุกเข้าถ้ำเหลือง -- ประมาณเดือน มิถุนา หลังจากคุยกับผุ้จัดการอยู่นาน ทั้งปลอบ ทั้งขู่ ยังไม่ถึงขั้นเล้าโลม แกยอมเปลี่ยนลูกใหม่ให้ อืม..น่าจะแฮปปี้เอนดิ้งกันได้นะ

เดือนนึงผ่านไปไวเหมือนโกหก ฝันร้ายเดิมๆ กลับมาอีกครั้ง ไม่เชื่ออีกว่าอะไรมันจะซวยซ้ำซ้อน ยอกย้อนเหมือนเล่นแผ่นผี กลับไปหาพี่เลิศเหมือนเดิม แบตเก่าลูกเดิม และ้ข้อสรุปเหมือนเดิม "แบตมันไม่เก็บไฟครับ ไม่เกี่ยวกับใหม่หรือเก่า"

กลับไปเจอผู้จัดการ คนเดิม จำได้ตั้งแต่เลี้ยวรถเข้าไป รอบนี้เริ่มไม่อยากเปลี่ยน บอกว่าที่ร้านเป็นแค่คนกลางในการขาย การเคลม หรือ คืนเงิน ต้องให้ทางยัวซ่า เอาแบตไปผ่าพิสูจน์ดู ถ้ามันเสียจริง จะคืนเงินให้บางส่วน (เท่าไรไม่บอก พอถามว่า ถ้าคืนให้ผมสิบบาทล่ะ แล้วผมจะทำไง -- พนักงานหัวเราะ แต่ผมน้ำตาตกใน) เหลือบไปดูใบปลิวพร้อมคำโฆษณา คำมั่นสัญญาต่างๆ บอกว่าจะรับผิดชอบโน่นนี่นั้น อ่านจนเคลิ้ม แต่พอหันมาหาผู้จัดการอีกที ได้แต่บอกว่า แบตตัวนี้พี่ทำเคลมนะ แล้วก็ซื้อตัวใหม่จากผมไปละกัน เหวอ.. สิครับ ท่านผู้ชม

เพื่อเป็นการแฟร์ๆ ผมขอให้พนักงานเอามิเตอร์มาวัดแรงดันที่ขั้วแบต ถ้ามันยังปกติ แรงดันต้องไม่ต่ำกว่า 12 โวล์ท วัดครั้งแรกได้ 10 กว่าๆ ทิ้งไว้สักพัก เหลือ 8 โวล์ท -- จบเลย เข้าไปเขียนใบเคลมให้แต่โดยดี แต่ไม่วายบอกว่า เราเป็นแค่ตัวแทนจำหน่าย ปัญหาต่างๆ ถ้าพี่ติดใจ ก็ไปยัวซ่าได้เลย (ผมเอาใจช่วยพี่ตรงนี้พอ)

ครับ ถ้าผมซื้อแบตใหม่จากเขา ก็คงต้องขอบริจาคหญ้ากับฟางจากเพื่อนๆ มาประทังชีวิต เลยตัดสินใจขับรถไปอีกหน่อย จบที่ จีเอส แบตเตอรี่ ราคาถูกกว่าหน่อย เป็นร้านไม่ใหญ่ เจ้าของทำเอง แต่ดูแลตรวจเช็คประทับใจไม่น้อยกว่าร้านใหญ่เลย แล้วก็เอาแบตเก่าไปคืนพี่เลิศ แกยิ้มปลอบใจในความโชคดีถึง 2 ครั้งของผม

ใน ใบเคลมบอกว่า ระยะเวลาในการเคลมประมาณ 30 วัน แต่ปลายฝนแต่ต้นไม่หนาวสักที 2 เดือนผ่านไปจนเกือบลืม เห็นใบเสร็จเพิ่งนึกได้ เลยโทรไปตาม ปลายสายแจ้งมาด้วยน้ำเสียงยินดี "ครับๆ พี่ ทางยัวซ่าแจ้งมาแล้ว ว่าแบตเขาเสือมเองครับ แต่ยังไม่รู้เลยว่าพี่จะได้เิงินคืนเท่าไร" ก็ยังดีที่ยอมรับผิด

หลังจากนี้ไปถามกูรูในวงการได้ความว่า แบตฯ บางรุ่นที่ทำมาล็อตเดียวกัน อาจจะมีปัญหาเหมือนๆ กันได้ ขึ้นกันสภาพของวัตถุดิบที่ใช้ และการประจุไฟในเบื้องต้น ทุกท่านอย่างได้ เห็นว่าเป็นของใหม่จิ้มลิ้ม ชิมิ ชิมิ แล้วจะมาพาลว่ารถเก่าของเรามันเหลาเหย่มิได้นะครับ

ก็ขอฝากกันไว้ ณ ที่นี้

สวัสดีจงมีแก่ทุกท่าน




October 6, 2011

มองมุมเหม่ง > สิ่งที่มากับน้ำท่วม (Flood for Thought)

หน้าฝนคราวนี้ ธรรมชาติ "จัดหนัก" จริงๆ ครับ แม้ว่าบ้านเราจะน้ำท่วมแทบทุกปี แต่ปีนี้สาหัสมาก อย่างไรแล้ว ผมขอส่งกำลังใจช่วยพ่อแม่พี่น้องในภาคต่างๆ ให้เข้มแข็งและผ่านพ้นไปได้นะครับ

มองจากปัญหาเรื่องน้ำท่วม หลายคนก็พูดถึงการบริหารจัดการระบบชลประทาน บ้างก็พูดถึงต้นตอของปัญหา ที่ไม่ได้มาจากการตัดไม้ทำลายป่า (ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว) แต่มาจากการ "วางผังเมือง" ที่ไม่ถูกต้อง สร้างถนน สร้างเมืองไปขวางทางน้ำไหล ให้เป็นเขื่อนย่อยๆ ยังไงๆ มันก็ต้องท่วมอยู่ดี

เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกภาพของหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงกับชีวิตของชาวบ้านทั้งหมด แต่จะว่าไป ก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหน้าที่เหล่านี้นะครับ เพราะอีกบทบาทหนึ่ง พวกเขาและครอบครัวก็ย่อมต้องได้รับผลกระทบบ้าง ไม่มากก็น้อย

ผมมองไปถึงการกำหนด "หน้าที่" ความรับผิดชอบ หรือ การตั้งโจทย์ในการทำงานมากกว่าที่น่าจะสร้างปัญหา

มันไม่ผิดหรอกครับ ที่กำหนดให้กรมชลประทานดูแลเรื่องน้ำ กรมทางหลวงชนบทดูแลเรื่องถนนหนทาง กรมที่ดินดูแลเรื่องการออกโฉนดสร้างบ้าน และกรมอื่นๆ อีกมากมายที่มีส่วนในชีวิตพวกเรา ซึ่งการกำหนดหน้าที่แยกตามงานเป็นส่วนๆ นั้น มันก็เป็นเรื่องที่อธิบายง่าย และชัดเจน แต่ในชีวิตจริงแล้ว สิ่งต่างๆ มันไม่สามารถแบ่งแยกชี้ขาว ชี้ดำได้เหมือนหลักการที่ว่ากัน

ดังนั้น เมื่อวิกฤตใหญ่ๆ เกิดขึ้นมา จึงเป็นบททดสอบที่ท้าทาย สำหรับคนที่เป็นหัวหน้า ของผู้ว่าฯ ของพ่อเมือง ที่จะทำการดูแล ประสานงานส่วนต่างๆ ให้เกิดความร่วมมือให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ทุกคนยอมรับ และเข้าใจภาพรวมที่จะต้องเป็นไป ภายใต้ระยะเวลาที่จำกัดและวิกฤตสุดๆ

ตัวอย่างนี้ ไม่ใช่แค่เฉพาะตอนน้ำท่วมหรอกครับ สำหรับคนทำงานแล้ว ผมเชื่อว่าในออฟฟิศของทุกคนก็ต้องเจอแบบนี้ ที่ต่างคนต่างทำงานของตน ไม่สนใจถึงผลกระทบต่อคนอื่นๆ พวกฝรั่งจึงเอามาเทศนาพวกเราไงครับ ว่าต้องสนใจผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) ทุกคนด้วย

มองลึกไปอีกชั้น ย้อนไปถึงการจัดการศึกษาในบ้านเราครับ เราแยกคณะ แยกหลักสูตร ให้นักศึกษาได้เรียนแต่ละสาขา จนบางครั้งลึกมากไปจนลืมความสำคัญของศาสตร์สาขาอื่นๆ เราไม่ได้ดำรงชีวิตด้วยเรื่องที่เราเรียนมาอย่างเดียว ในบางครั้งก็ต้องเข้าใจ หรือเรียนรู้ศาสตร์อื่นๆ บ้าง เอาง่ายๆ เรื่องการเงิน เรื่องกฏหมาย เรื่องอาหารการกิน ไม่ใช่แค่ปัญหาของ นักบัญชี ทนาย หรือ พ่อครัวเท่านั้น

มันควรเป็นสิ่งที่ทุกคน "ต้องรู้" นะครับ

อีกตัวอย่างนึง ที่เกี่ยวข้องกับงานของผม การสร้างศูนย์คอมพิวเตอร์ สักแห่ง เราเคยคุยกันว่า มันต้องมีศาสตร์ทางวิศวกรรมสาขาใดบ้าง คำตอบที่ได้ไม่ต้องแปลกใจไป มีทั้งโยธา ไฟฟ้า เครื่องกล ไอที ฯลฯ แทบจะทุกสาขาเลยนะครับ ที่ต้องรู้ต้องเกี่ยวข้อง

แล้วเจ้าของบริษัทที่ไหนมันจะจ้างคนทีละเป็นสิบๆ คนอย่างนี้ละครับ เขาก็ต้องเลือกคนที่รู้ได้ "เยอะ" ที่สุด (เท่าที่จะเป็นไปได้) ซึ่งก็ไม่ได้หากันง่ายๆ เลย

ครับ ถ้าผู้รับผิดชอบต่ออนาคตของประเทศ หรือของโลก ได้มีโอกาสหลงทางมาเจอบทความบ่นบ้าอันนี้บ้าง ผมก็ขอฝากไว้กับพวกท่านๆ ทั้งหลายด้วย

ถ้าเห็นแต่ "ต้นไม้" แต่ไม่รู้สึกถึง "ป่า" ก็น่าเสียดายสำหรับความงดงามและมหัศจรรย์ของธรรมชาติหรอกครับ


September 17, 2011

เป็นเรื่อง > นิทานหมาป่า (Eating Wolf) [PG 13+]


กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว เมื่อหนูน้อยหมวกแดงได้เติบโตขึ้น เธอได้แต่งงานกับพระราชาอย่างมีความสุข และปกครองบ้านเมืองสืบต่อมา...
*************
กาลครั้งโน้น เมื่อไล่หมาป่าที่จะมาปองร้ายไปแล้ว ลูกหมูทั้ง 3 ตัว ก็อาศัยอยู่ในบ้านอิฐสีแดงหลังใหญ่ อย่างมีความสุขต่อไป...
*************
กาลครั้งนั้น หลังจากที่ฝูงหมาป่าได้บุกเข้ามากินแกะในหมู่บ้านไปแล้ว ก็ไม่มีใครได้ยินข่าวคราวครอบครัวของเด็กเลี้ยงแกะอีกเลย
*************

จนกระทั่ง กาลครั้งนี้...

เมื่อราชินีหมวกแดงได้เสด็จมายังท้องพระโรง เพื่อว่าราชการตามปกติ ก็พบกับกลุ่มเสนาอำมาตย์กลุ่มใหญ่กำลังถกเถียงกันอยางเคร่งเครียด

"ขอเดชะ ขณะนี้เหตุการณ์ประท้วงของประชาชนเริ่มจะลุกลามไปแล้วพะยะค่ะ เนื่องจากฝูงหมาป่าได้บุกเข้าแย่งชิงฝูงวัว ฝูงแกะ และทำร้ายชาวเมือง ทำให้ทุกคนหวาดกลัว ไม่สามารถทำมาหากินได้ตามปกติแล้ว"

ราชินีหมวกแดง ถอนหายใจอย่างเคร่งเครียด

"ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว อีกไม่นาน คงบานปลายไปทั้งเมืองสินะ แล้วพวกทหารล่ะ"

"เอ่อ.. มีข่าวลือว่าฝูงหมาป่านั้น เป็นพวกปีศาจมนุษย์หมาป่า และทหารที่ส่งออกไปก็ตายหมด ที่เหลือก็เสียขวัญกันใหญ่แล้วพะยะค่ะ"

"ฮึ ใช้ไม่ได้สักคน พวกเจ้าจงประกาศออกไป ให้นายพราน หรือใครก็ได้ที่สามารถรับมือฝูงหมาป่านี้ได้ มาเข้าเฝ้าโดยด่วน ข้าจะมีรางวัลให้อย่างงาม"
*************
วันนี้ที่บ้านอิฐสีแดงหลังใหญ่ มีเสียงเฮฮาดังออกมา หลังจากที่เงียบหายไปนานในช่วงที่บ้านเมืองเกิดวิกฤตเช่นนี้

"อู๊ดๆ ตามสบายเลยท่านผู้เฒ่าแกะ พวกข้าดีใจที่ท่านให้เกียรติแวะมาเยี่ยมเยือนเรา 3 พี่น้องจริงๆ อู๊ดๆ" เจ้าหมูใหญ่ พี่คนโตยิ้มแย้มต้อนรับ

"แบร์ แบร์ เอ่อ ที่ข้ามาหาท่านวันนี้ เพราะได้ยินจากชาวเมืองว่าท่านทั้ง 3 นั้น เป็นผู้กว้างขวางและรู้จักใครต่อใครมากมาย คงจะเป็นที่พึ่งให้ข้าได้"

"ท่านว่ามาเลย" เจ้าหมูรองแตะไหล่เพื่อให้กำลังใจ

"อย่างที่ท่านรู้ ตอนนี้ฝูงหมาป่าออกอาละวาด อย่างไม่เกรงกลัวใครเลย พวกชาวบ้านหรือแม้กระทั่งทหารก็หวาดกลัวกันหมด ปกป้องพวกแกะอย่างข้าไม่ได้ จนทุกวันนี้ประชากรแกะก็หายไปกว่าครึ่งแล้ว ส่วนข้าเองนั้น ก็เสียลูกชายให้กับหมาป่าใจพาลที่ริมแม่น้ำเมื่อหลายปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นฝีมือพวกมัน แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรมันได้เลย ข้าจึงเป็นตัวแทนพวกแกะ มาขอให้ท่านช่วยจัดการพวกหมาป่าให้ที" ผู้เฒ่าแกะก้มลงหมอบเพื่อขอร้องเจ้าหมูทั้ง 3 ตัว

"พวกข้าไม่เหลืออะไรแล้ว แต่อย่างน้อยขนของพวกข้าคงมีราคาดี สำหรับหน้าหนาวนี้ที่จะมาถึงอย่างแน่นอน"
*************
หลังจากที่ผู้เฒ่าแกะกลับไปแล้ว เจ้าหมูทั้ง 3 ตัว ปิดบ้านหารือกันอย่างลับเฉพาะ

"พวกพี่ว่าไง กับข้อเสนอของเจ้าแกะเฒ่านั่น ในภาวะเช่นนี้ ข้าว่ามันน่าสนใจนะ" เจ้าหมูเล็กส่งเสียงสนับสนุน

"มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ พวกเจ้าก็รู้ ว่าเรารอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะเรื่องที่เราจัดการเจ้าหมาป่าในคราวโน้นได้โดย
บังเอิญ ไม่อย่างงั้นแล้ว พวกเราคงโดนจับเชือดไปตั้งนานแล้วล่ะ" หมูรองเตือนสติ

"แล้วช่วงนี้ เหยื่อโง่ๆ ที่พอจะหลอกได้ก็ไม่ค่อยมี ไปไหน ไปไหน ใครๆ ก็ไม่มีเงินแล้ว ถ้าพวกพี่ๆ ไม่เอาข้าจะจัดการเองน่ะ" เจ้าหมูเล็กใจร้อนตัดบท

"ใจเย็นๆ เจ้ารอง เจ้าเล็ก ข้ามีความคิดที่ดีกว่านั้น" หมูใหญ่เจ้าของบ้านอิฐ ยิ้มกริ่มเอามือลูบท้อง ในแบบที่น้องทั้ง 2 ไม่ได้เห็นมานานแล้ว
*************
หลังพระกระยาหารเช้า ราชินีหมวกแดงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะมหาดเล็กรายงานว่า ได้เจอนายพรานมือฉมังลูกของอดีตพรานป่า ที่เคยช่วยชีวิตนางไว้เมื่อสมัยยังเด็ก มาเข้าเฝ้าตามพระบัญชาแล้ว

"ข้าดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เจ้ามาช่วยข้าในการปราบพวกหมาป่าในครั้งนี้ ว่าแต่ว่าที่ผ่านมาเจ้าไปทำอะไรมา"

"ขอเดชะ หลังจากที่พ่อบุญธรรมตาย ข้าก็ออกเดินทางไปล่าหมาป่าที่เมืองอื่นๆ จนกระทั่ง ทราบข่าวนี้พระเจ้าค่า"

"แล้วเจ้าหมูโสโครกนี่หล่ะ เจ้าเป็นใคร" ราชินีหมวกแดงหันไปเห็นเจ้าหมูใหญ่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างๆ

"เอ่อ อู๊ดๆ ขอเดชะ ข้าและน้องข้าอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเมืองพะยะค่ะ พวกข้าเคยปราบหมาป่าได้ในอดีต และทราบมาว่าท่านต้องการคนช่วยเหลือเช่นกัน ข้าจึงขออาสา แหะ แหะ"

"น่าสนใจดีนี่ เจ้าว่าแผนของเจ้ามา"

"แผนก็คือ ข้าจะแกล้งนำแกะจำนวนหนึ่ง ไปล่อให้ฝูงหมาป่าออกมายังที่ทหารเราซุ่มโจมตีอยู่ เพื่อตัดกำลังบางส่วน อีกทางนึง ท่านนายพรานก็อ้อมไปยังรังของมันเพื่อกำจัดพวกที่เหลือ ถ้าแผนนี้สำเร็จก็จะเรียกศรัทธาจากประชาชนมาได้อีกครั้ง พระเจ้าค่า"

"ดีมาก จัดไปตามนั้น ทหาร ข้าขอแต่งตั้งท่านนายพราน และเจ้าหมูนี่เป็นแม่ทัพในการปราบหมาป่าในครั้งนี้ พวกเจ้าจงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ทุกคน"
*************
ระหว่างทางอันคดเคี้ยวในหุบเขาลึกนอกเมือง เจ้าหมูทั้ง 3 เดินนำฝูงแกะจำนวนหนึ่ง บรรยากาศรอบข้างไม่สู้ดีนัก เสียงหมาป่าร้องมาจากไกลๆ ทำให้ทั้งหมดรู้สึกขนลุกมากกว่าเดิม

"่ท่านหมูใหญ่ ท่านคิดว่าแผนการนี้จะสำเร็จหรือเปล่า" ผู้เฒ่าแกะถามขึ้นด้วยความกังวล

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า อู๊ดๆ สำเร็จสิ ท่านไม่ต้องกังวลไป พระราชินีหมวกแดงท่านให้กำลังเราอย่างเต็มที่ ตอนนี้พวกทหารก็คงไปซุ่มอยู่ที่จุดนัดพบเรียบร้อยแล้ว คราวนี้แหละท่านก็จะได้ล้างแค้นอย่างที่ท่านต้องการซะที" หมูใหญ่ยิ้มพร้อมเอามือลูบท้องอีกครั้ง

เมื่อทั้งหมดเดินทางมาถึงจุดนัดพบ นอกแนวป่า สองข้างเป็นผาชันมีต้นไม้รกครึ้ม เจอหมาป่าฝูงหนึ่งรออยู่แล้ว

"พวกเจ้ามาช้านะ" แทนคำทักทายจากหมาป่าตัวที่ใหญ่ที่สุด ทั้งหมูทั้งแกะถึงกับถอยกรูดโดยสัญชาตญาณ เมื่อเผชิญหน้ากับหัวหน้าหมาป่าอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ รอยแผลเป็นที่ลากยาวจากหน้าผากจนถึงใต้ตาเสริมให้ดูน่ากลัวยิ่งนัก นี่ถ้าไม่ได้พวกทหารที่ซุ่มอยู่ เจ้าหมูทั้ง 3 คงวิ่งกันป่าราบยิ่งกว่าสมัยตอนเด็กๆ เสียอีก

"อ่ะ อ่ะ อู๊ดๆ ท่านจ้าวหมาป่า อย่าเพิ่งอารมณ์เสียไปเลย ข้ามาวันนี้เพราะเป็นตัวแทนชาวเมืองจะมาเจรจากับท่าน เพื่อไม่ให้ท่านบุกเข้าไปทำร้ายชาวเมืองน่ะ เราน่าจะอยู่กันได้อย่างสงบเหมือนเมื่อก่อน"

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า" จ้าวหมาป่าหัวเราะเสียงลั่นไปทั้งหุบเขา "ช่างตลกสิ้นดี เจ้าจะมาต่อรองอะไร เมื่อตอนนี้พวกข้ามีเป็นร้อยๆ ตัว จะบุกยึดเมื่อไรก็ได้ ว่าแต่ว่าข้อเสนอของเจ้าล่ะ คืออะไรหา!! เจ้าหมู"

"คำก็หมู สองคำก็โสโครก ทำไมไม่มีใครมองหมูอย่างพวกข้าในแง่ดีบ้างว้า.." เจ้าหมูใหญ่บ่นงึมงัม หันกลับไปซุบซิบภาษาหมูกับน้องๆ ทั้ง 2 ที่ยืนตัวสั่นไม่แพ้กัน

"พี่ๆ ข้าว่าดูจากกำลังทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว ทางหมาป่าน่าจะเป็นต่อกว่าเยอะเลยน่ะ" เจ้าหมูเล็กกระซิบเสียงลนลาน

"ข้าว่าท่านรอพวกทหารก่อนละกัน ส่วนทางนายพรานน่าจะกำลังปราบพวกที่เหลือนะ" เจ้าหมูรองติงขึ้นมา

หลังจากกรอกตาใช้ความคิด 2-3 ที เหลือบไปมองฝูงแกะที่ยืนเข้ากลุ่มกัน ตัวสั่นจากสายตาของเหล่าหมาป่า เจ้าหมูใหญ่ตัดสินใจเดินไปหาจ้าวหมาป่าอย่างนอบน้อมแกมเจ้าเล่ห์

"เอ่อ ท่านจ้าวหมาป่า ข้าทราบดีว่าท่านจะบุกโจมตีเมืองในไม่ช้า แต่พวกข้าเองเป็นหมูตัวเล็กๆ หาเลี้ยงชีพไปวันๆ ข้าขอให้ท่านเว้นชีวิตพวกข้าด้วย โดยขอมอบพวกแกะฝูงนี้ตอบแทนท่าน และเมื่อข้ากลับไปแล้ว ท่านอยากทราบข่าวคราวข้างในยังไง ข้าจะจัดการอำนวยความสะดวกให้ท่านเอง อู๊ดๆ" กล่าวเสร็จได้แต่หมอบนิ่ง รอคำตอบ ในขณะที่ฝูงแกะเริ่มสับสนอลหม่านกับข้อเสนอของเจ้าหมูใหญ่

"แบร์ แบร์ เจ้าหมูใหญ่ นี่เจ้าคิดหักหลังพวกข้าหรือนี่ ไหนว่าเจ้าจะมาล่อพวกหมาป่าเพื่อให้ทหารมาซุ่มฆ่ายังไงเล่า แบร์ แบร์"

"เฮอะ ยังไงพวกเจ้ามันก็แค่แกะรอวันตายอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าจะต่อกรกับท่านจ้าวหมาป่าได้อย่างไร ฝันไปเถอะ" หันกลับไปหาจ้าวหมาป่าอีกครั้ง "
แหะๆ อย่าไปฟังคำพูดของพวกมันเลยครับ เชิญพวกท่านสำราญกับฝูงแกะเป็นๆ เหล่านี้ได้เลยครับ"

จ้าวหมาป่า มองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างขัดเคือง พูดเสียงดังก่อนย่างสามขุมเข้ามาหาเจ้าหมูใหญ่ช้าๆ
"กินมันทั้งหมดนั่นแหละ ไม่มีทหารที่ไหนจะมาช่วยพวกเจ้าได้หรอก ส่วนไอ้หมูตัวเนี้ย ข้าจะไม่ปล่อยให้มันสร้างความอับอายให้พวกเราหมาป่าได้อีกต่อไป"

ก่อนที่เจ้าหมูทั้ง 3 จะได้หันหลังทำอะไรต่อไป ลมเย็นวูบหนึ่งพาดผ่านที่ต้นคอพร้อมกับความเจ็บแปลบเล็กๆ สัมผัสของเลือดข้นเหนียวพุ่งไหลออกมา ภาพของบ้านอิฐหลังใหญ่สีแดงค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับสติสุดท้ายของชีวิต
*************
ยามหน้าประตูเมืองวิ่งไปเปิดประตูแทบไม่ทัน เมื่อเห็นนายพรานผู้กล้าเดินกลับมาอย่างโดดเดี่ยวโซเซ แตกต่างจากเมื่อตอนออกจากเมืองไปอย่างเอิกเกริก พร้อมกับกองทหารอย่างคึกคัก

"ท่าน ท่านนายพราน ทำใจดีๆ ไว้" หัวหน้าทหารวิ่งเข้ามารับร่างที่ไร้เรี่ยวแรง
"ข้าคงไม่ไหวแล้ว.. เอ้า เอานี่ไปมอบให้พระราชินี และบอกชาวบ้านทุกคนว่าข้าขอโทษกับเรื่องในอดีตด้วย"
ในถุงมีหัวของหมาป่าสีดำ เพิ่งตายได้ไม่นาน แต่ร่างกายนายพรานเต็มไปด้วยบาดแผลที่ยังมีเลือดไหลโชกออกมา พาสังขารกลับมาได้ขนาดนี้นับว่าเก่งกล้ายิ่งนัก
*************
"น่าเสียดายจริงๆ ที่ต้องเสียนายพรานมือดีอย่างนี้ไป แถมหัวหมาป่าที่ได้มาก็ไม่ใช่ตัวหัวหน้าฝูงเสียด้วยสิ" มหาอำมาตย์ถอนหายใจกล่าวอย่างเสียดาย ราชินีหมวกแดงยิ้มให้กำลังใจ ก่อนที่จะหันหลังกลับพระราชวังต่อไป

"ถึงไม่ได้ตัวหัวหน้าก็ไม่เป็นไร พวกท่านจงประกาศข่าวชัยชนะครั้งนี้ให้กับชาวเมืองทุกคนรับรู้ด้วย ส่วนงานศพของท่านนายพรานนั้น จงจัดตามสมควร สำหรับอดีตเด็กเลี้ยงแกะแล้ว มาถึงขั้นนี้ได้ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้วล่ะ"
*************
หลังจากข่าวดีประกาศออกไป ชาวเมืองทุกคนต่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ทหารและนายพรานปราบกลุ่มหมาป่าได้ ดูเหมือนว่าหลังจากนั้นข่าวคราวการบุกโจมตีของหมาป่าก็น้อยลง และค่อยๆ เงียบหายไป เศรษฐกิจเ่ริ่มกลับมาดีอีกครั้ง

คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ราชินีหมวกแดงยืนตามลำพังตรงระเบียง ทอดสายตามองไปยังเมืองของพระองค์ ไม่มีใครรู้ว่านางคิดอะไร

เงาร่างใครสักคนกระโดดขึ้นมาอย่างกระทันหันแต่เงียบเชียบ แตกต่างกับร่างกายที่ใหญ่โตกว่าปกติ แต่ราชินีหมวกแดงกลับไม่แปลกใจ

"เจ้านั่นเอง ข้าไม่นึกว่าจะมาช้าขนาดนี้" พระองค์ดีดนิ้ว หยิบเนื้อสันชั้นดีในชามไวน์โยนออกไป

แสงไฟในห้องสาดให้เห็นจ้าวหมาป่าค่อยๆ คลานออกมาจากเงามืด ดมเนื้อชิ้นนั้น 2-3 ที แล้วกลืนลงคอทันใด

"อืม เนื้อดีน่ะ ข้านะหรือ คืนนี้ข้ามารับรางวัลน่ะสิ ตอนนี้ชาวเมืองเลิกก่อความวุ่นวาย พลเมืองแกะเพิ่มมากขึ้น แกงค์หมู 3 ตัวที่คอยต้มตุ๋นชาวบ้านก็หมดไป ท่านน่าจะมีความสุขนะ"

"หึๆ ใช่ว่าเจ้าจะไม่ได้ประโยชน์ด้วย เจ้าได้กำจัดเสี้ยนหนามในกลุ่มหมาป่าของเจ้า ได้ล้างแค้นไอ้หมูโสโครกทั้ง 3 ตัว แถมได้ตัวผู้เฒ่าแกะ และกำจัดเจ้านายพรานเด็กเลี้ยงแกะไปอีก ข้าว่า เจ้าน่าจะได้กำไรมากกว่าข้าละมั้ง" ราชินีหมวกแดงยิ้มกริ่ม สายตาเยิ้มด้วยฤทธิ์ไวน์ชั้นดี

"เจ้าหมาน้อยเอ๊ย ข้ามีข้อเสนอให้กับพวกเจ้า" นางหัวเราะชอบใจ เมื่อจ้าวหมาป่าเข้ามาก้มหัวคลอเคลีย
*************
ในวันเฉลิมฉลองเมือง สิ่งที่สร้างความแปลกใจให้กับทหารและชาวเมืองทุกคนคือ หมาป่าร่างใหญ่นั่งหมอบอย่างสงบข้างๆ บัลลังค์พระราชินี ขนเลื่อมเป็นเงามันทั้งสวยและน่าเกรงขาม ยิ่งรวมกับรอยแผลเป็นบนใบหน้านั้นแล้ว ทำให้เสริมบารมีของราชินีหมวกแดงเป็นยิ่งนัก และแล้วนางก็ได้ปกครองบ้านเมืองอย่างมีความสุขสืบต่อไป
*************

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า:
1) นิทานก็คือนิทาน อ่านแล้วอย่าคิดมาก
2) อ่านอีสปไม่ครบ 3 จบ อย่าเพิ่งไปคบให้ดูข่าววิเคราะห์ และข่าวหนังสือพิมพ์เพิ่มเิติมด้วย

August 15, 2011

เรียนจากหนัง > Spooks Code 9 (สายลับพันธุ์ใหม่ ไร้พิกัด)












การจลาจลที่เกิดขึ้นในกรุงลอนดอน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ผมคิดถึงหนังซีรี่ส์ เรื่อง [Spooks] Code 9 ที่ฉายตั้งแต่ปลายปี 2008 (นึกเรื่องอื่นไม่ออกน่ะ)

ตามรูปที่ด้านบน คือภาพเหตุการณ์จริง กับใบปิดหนังที่ทำขึ้นมา แทบจะไม่แตกต่างกัน และไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองที่เรียกตัวเองว่า "เมืองผู้ดี" ครับ (น่าจะเข้าใจผิดกันน่ะ เพราะตั้งแต่เรื่องฟุตบอลแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นผู้ดีอย่างไร - หรือว่านิยามผู้ดีของเขากับเราจะต่างกัน - ฮา)

กลับมาคุยเรื่องเกี่ยวกับหนังดีกว่า [Spooks] Code 9 เป็นเรื่องที่แตกย่อยมาจากซีรี่ส์ [Spooks] ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสายลับของอังกฤษ ทีม MI5 (Military Intelligence 5) แต่ Code 9 นั้น ทาง BBC ต้องการขยายตลาดคนดูไปยังกลุ่มวัยรุ่น และมีเรื่องราวที่ร่วมสมัยมากขึ้น (ดูเวป http://www.bbc.co.uk/programmes/b00d33bt)

โดยที่แก่นหลักของเรื่องจะเป็นเหตุการณ์ที่กรุงลอนดอนในปี 2013 โดนโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์จากกลุ่มผู้ก่อการร้าย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเสียหาย บ้านเมืองไร้ระเบียบ รวมไปถึงทีมสายลับต่างๆ ที่สลายตัว หรือ หายไปด้วย จึงต้องมีการตั้งทีม MI5 (ออฟฟิศที่ 19) ขึ้นมาใหม่ โดยคัดเลือกจากคนรุ่นใหม่จากหลายวงการ ทั้งอดีตนักเรียนแพทย์ นักคณิตศาสตร์ ตำรวจ อาชญากร นักศึกษาจิตวิทยา เป็นต้น โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ Hannah MI5 สาวผู้มีประสบการณ์ ที่เป็นผู้คัดเลือกทีมงานใหม่ทั้งหมดด้วยตนเอง

นอกเหนือจากภารกิจที่ต้องทำตามระเบียบหนังสายลับแล้ว หนังยังแสดงให้เห็นถึงมุมอื่นๆ โดยมีเงื่อนไขของเหตุการณ์หลังระเบิด ข้อมูลที่ขาดหาย กฏหมายที่ไม่ครอบคลุม ซึ่งถ้าเทียบกับแนวฮอลลีวูดแล้ว อาจจะสะใจน้อยกว่ากันพอสมควรครับ แต่แก่นหลักที่น่าสนใจ ของหนังชุดนี้ คือพูดถึงการทรยศ การหักหลัง เมื่อ Hannah โดนลอบฆ่าตั้งแต่ตอนแรก เพราะดันไปรู้ถึงข้อมูลไส้ศึกในทีม MI5 ที่อาจจะมีส่วนในการวางระเบิด ทำให้ทีมที่กำลังจะไปได้ดี ต้องมาปั่นป่วนซะงั้น แถมภารกิจอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามาให้แก้ปัญหากันซะมากมาย

ประเด็นที่น่าสนใจ และเป็นพล็อตรอง คือคนที่มาเป็นหัวหน้าแทน Hannah ซึ่ง Yates (อืม คนอะไรชื่อแปลก อ่านว่า ย๊าทส์) สาวใหญ่ที่เป็นหัวหน้า Hannah อีกที ตกลงเลือก Charlie สมาชิกหน้าใหม่ที่สุด มาบริหารทีมงานแทน

ตรงจุดนี้เองที่สำหรับคนที่ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าคน ต้องศึกษาและทำความเข้าใจ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครต่างๆ Charlie เองต้องรับมือกับความกดดันในการเป็นหัวหน้าทีม ในฐานะที่อยู่ตรงกลาง จะทำให้ทั้งข้างบน (Yates) หรือ ทีมงานที่เหลือ ว่าจะยอมรับเขาได้หรือไม่

หรือ Rachel อดีตตำรวจสาว ผู้ที่ Hannah คาดหวังให้เป็นผู้สืบทอด เพราะทั้งประสบการณ์ และบุคลิก แต่ติดที่เธอเองมักจะขาดความรอบคอบ (ในช่วงเวลาที่สำคัญ) ส่วนทีมงานคนอื่นๆ เองชัดเจนว่าไม่สนใจหรือคุณสมบัติไม่ได้จริงๆ

ส่วนตัว Charlie เอง เราจะเห็นถึงความสับสน และความไม่มั่นใจในช่วงต้นที่เขารับตำแหน่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับสภาวะคอขาดบาดตายแล้ว มันอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น เราจะเห็นว่าเขากระจายงานให้ทีมงานไปทำ จนดูเหมือนตัวเองนั่งในออฟฟิศสบายๆ แต่พอถึงงานที่สำคัญ (บุกเข้าไปหาข้อมูลในคุกทหาร หรือ เดินทางไปที่ลอนดอน ที่กัมมันตภาพรังสียังมีอยู่ เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม) เขากลับเสียสละเข้าไปเอง หรือการบริหารผู้บังคับบัญชา ที่ดูเหมือนว่า รับชอบ ไม่รับผิด มีเส้นตายโง่ๆ ออกมาเสมอๆ นั้น จะทำอย่างไร

แม้กระทั่งปัญหาของลูกน้องก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่ไปวุ่นวายในเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อเรื่องส่วนตัวเหล่านั้น กลับมาสร้างปัญหาใหญ่ๆ ให้กับงานอีก เขาจะรับมืออย่างไร

อีกเรื่องที่คิดว่าไม่สำคัญ แต่กลับเป็นสิ่งสำคัญ คือ ความสัมพันธ์ ที่เกินขอบเขตเพื่อนร่วมงาน ระหว่าง Sullivan เจ้าหน้าที่อีกคน ที่แอบหลงรัก Rachel แล้วเผลอไปคิดว่า เธอรักกับ Charlie ซึ่งมันก็กลับมากระทบกับงานจนได้

ครับ ถ้าในมุมของหนัง [Spooks] Code 9 อาจจะพอได้ในระดับนึง แต่ถ้าในมุมของ การเป็นหัวหน้าทีม (Leadership) นั้น ผมว่าหนังเรื่องนี้ มีอะไรให้ดูได้ไม่เบื่อเลยครับ

***********************************************

หมายเหตุ
1) MI5 (Military Intelligence 5) เป็นหน่วยงานพิเศษของอังกฤษ (จริงๆ แล้ว ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Secret Intelligence Service - SIS) ตัวเลขข้างหลัง มีตั้งแต่ 1-19 ครับ โดยแยกไปตามภารกิจ หรือ พื้นที่ที่กำหนดไว้ MI5 จะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่กลุ่มสหราชอาณาจักร (United Kingdom) เท่านั้น โดยตัวเลขเหล่านี้ เดิมเป็นตัวเลขของห้องทำงานของแต่ละหน่วยงาน

ถ้าถามว่า MI5 เกี่ยวอะไรกับ เจมส์ บอนด์ หรือเปล่า ก็ไม่เกี่ยวกันครับ เพราะ เจมส์ บอนด์เองสังกัด MI6 ที่มีภารกิจ นอกประเทศเท่านั้น

อ้างอิง:
http://www.mjnewton.demon.co.uk/bond/jbssfaq.htm
http://www.guardian.co.uk/notesandqueries/query/0,5753,-20949,00.html

2) Hannah สังเกตว่าชื่อนี้สามารถอ่านได้ทั้งสองทาง ฝรั่งเรียกว่า Palindrome Names สะท้อนถึงลักษณะของเธอเอง ในด้านความสมดุล ลักษณะผู้นำ เล่นได้หลายด้าน ตามสไตล์สายลับเป๊ะๆ หาอ่านเรื่องราวสนุกๆ ของ Palindrome ที่คนนิยมเอามาตั้งชื่อ ได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Palindrome

August 12, 2011

มองมุมเหม่ง > เรื่องเวียนหัวของที่ปรึกษา (Don't Ask Jeeves)

ต้องการมาตรฐาน
การจัดการประสานทุกสิ่ง
แท้จริงใครตรวจสอบ
****************************

มูลเหตุที่เขียนเรื่องนี้ นอกเหนือจากที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ๆ ในวงการที่ปรึกษาแล้ว ยังเนื่องมาจากงานประจำที่ขยายขอบเขตจากเดิมที่ขายตัวสินค้า หรือระบบต่างๆ มาเป็นการให้คำปรึกษา วางแผน ซึ่งเป็นแนวโน้มการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น เพราะเหนือไปจาก คุณภาพ และ ราคาแล้ว คุณจะต้อง "เข้าใจ" และมองทะลุถึงปัญหาของลูกค้าได้ลึกกว่าเดิม ถึงจะอยู่ได้

กลับมาเรื่องของการให้คำปรึกษาอีกครั้ง ที่ยุคหลังเริ่มทวีความสำคัญ เพราะความซับซ้อนที่มากกว่าเดิม ทั้งในด้านเทคโนโลยี กฏหมาย มาตรฐาน และการตลาด ทำให้จากที่ปรึกษาทั่วๆ ไป ก็ต้องระบุให้ชัดเจนว่า จะเป็นที่ปรึกษาเฉพาะเรื่องอะไร ตรงนี้ก็จะสะท้อนกลับไปยัง มาตรฐานการศึกษา ละครับ ว่าทางภาครัฐได้เตรียมความพร้อมอย่างไรบ้าง ซึ่งคำตอบก็รู้ๆ กันอยู่ว่า มีข้อจำกัดกันแค่ไหน

ขั้นตอนคร่าวๆ ในการทำงานของที่ปรึกษาทางวิศวกรรมนั้น เริ่มตั้งแต่ (ที่ยังไม่มีอะไรเลยน่ะ)
- การวางกรอบแนวคิดหลัก (Conceptual Design) ว่าภาพรวมต้องมีอะไร ยังไงบ้าง แล้วพัฒนาต่อมาเป็น
- แบบรายละเอียดเบื้องต้น (Preliminary Design) ซึ่งก็จะเห็นภาพชัดขึ้น ถึงองค์ประกอบต่างๆ รวมไปถึงงบประมาณที่ต้องใช้ แล้ว ในลำดับต่อไปก็จะเป็น
- การลงรายละเอียด (Detail Design) ของแต่ละส่วน รวมไปถึงแบบ หรือ บางทีกำหนดถึงยี่ห้อสินค้าเลย และสุดท้ายเมื่อโครงร่างทางเทคนิคทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเพิ่มเติมส่วนอื่นๆ เช่นข้อกำหนด กฏหมาย เงื่อนไขต่างๆ กำหนดเป็น เอกสารสำหรับการประกวดราคา (Term of Reference - TOR) ในท้ายที่สุด

จากการทำงานข้างต้น จะเห็นได้ว่า ต้องใช้องค์ความรู้มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้น แทบจะหาตัวจริงในวงการมิได้เลย รวมไปถึงขอบเขตที่ต้องรู้ ซึ่งบางทีการเรียนในหลักสูตรก็ไม่มี เช่น เรื่องของข้อกำหนด กฏหมาย กับนักเรียนวิศวกรรม แต่ก็จำเป็นต้องรู้ทั้งหมด จะเอาไว้กันหมากัด หรือรู้ไว้เพื่อประโยชน์สุขของลูกค้าก็ได้ เหล่านี้ ทางบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำจริงๆ ก็จะมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญกันหลายคน ซึ่งเมื่อคนมากขึ้น ความยาก ซับซ้อนมากขึ้น ก็ส่งผลต่อราคาค่าตัว ค่าสมอง และประสบการณ์

ซึ่งในปัจจุบัน โชคดีที่ลูกค้าหลายๆ รายเริ่มเข้าใจ และยอมจ่ายมากขึ้น เมื่อเทียบกับในอดีตที่จะขอกันฟรีๆ ซะมากกว่า

แต่ปัญหาที่ปวดหัวกว่านั้น คือ "การตรวจสอบ" ครับ ว่าข้อเสนอแนะ หรือ รายงานที่เราได้รับจากที่ปรึกษานั้นน่ะ มันเชื่อถือได้อีกหรือเปล่า ต้องอ้างอิงอะไรจากที่ไหน

จนบางที ก็มีการตั้ง "ที่ปรึกษา" ซ้อน "ที่ปรึกษา" เป็นชั้นๆ ขึ้นมาอีกเพื่อตรวจสอบกันไป หรือแม้จะตกลงกันว่าต่อไปว่าให้อ้างอิง มาตรฐาน หรือ ข้อกำหนด แต่ก็ต้องปวดหัวกันอีกว่า จะเอาของประเทศไหน เพราะมาตรฐานความรู้ของที่ปรึกษาแต่ละประเทศนั้น ก็แตกต่างกันไป จะค่ายยุโรป หรือ อเมริกา (2 ค่ายเท่านั้น เพราะประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ ยังไม่ได้รับการยอมรับ แม้ว่าบางทีเราจะมีดีกว่าก็ตาม)

ก็เป็นเรื่องที่ตลกดีนะครับ มัวแต่คิดในเชิง "จับผิด" เชิง "ป้องกัน" จนกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ๆ ขึ้นมาแทน ซึ่งก็ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้ อยู่ที่ว่าแต่ละกรณีจะหักล้างโต้แย้ง หรือ รอมชอมกันอย่างไร แต่แนวโน้มที่น่าจะเป็น ก็คง หาระบบมาตรฐานอะไรสักอย่างมาอ้างอิง

ซึ่งก็จะเป็นเกมของคนที่กำหนดกติกา ว่าจะกำหนดให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบยังไงกันมากกว่า

เหล่าผู้บริโภค หรือ คนที่ต้องซื้อเทคโนโลยีมาใช้ ก็ก้มหน้ากันต่อไป

ถือว่าเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งละกันนะครับ

เรียนจากหนัง > The Scam - วิถีของความโลภ


วันหยุดยาวๆ อย่างนี้ ได้โอกาสที่จะเอาหนังที่ซื้อๆ ไว้มานั่งดู The Scam (2009) ในชื่อภาษาไทยไร้ลีลาว่า "จอมตุ๋น แก๊งค์อัจฉริยะ เจ๋งเป้ง" ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การลงทุนในตลาดหุ้น มาเฟีย และชั้นเชิงในการหักหลัง ซ้อนแผน เพื่อผลประโยชน์ของแต่ละคน ก็เป็นอีกหนึ่งหนังแนะนำ โดยเฉพาะคนที่เรียกตัวเองว่านักลงทุนครับ

นิยามของการลงทุนหุ้นตามที่รู้ๆ กันนั้น คือ "ซื้อถูก ขายแพง" เลือกซื้อบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง มีการบริหารที่มีธรรมาภิบาล (คำเท่ๆ อีกคำที่จะหายไปในไม่ช้า) ฯลฯ ตามแต่จะว่ากันไป เพื่อดึงดูดให้มด แมลง แมงเม่าทั้งหลาย นำเงินที่เก็บออมมาลงทุนในบ่อนถูกกฏหมายระดับชาติแห่งนี้

หนังโฟกัสไปที่ตัวแทนชนชั้นกลาง ฮอนซู (Kang Hyeon-soo) ผู้ซึ่งหมดตัวกับหุ้นยุคดอตคอม ทำให้เขาต้องเรียนรู้และทุ่มเทกับการเล่นหุ้นอย่างจริงจัง เพื่อที่จะเป็นมหาเศรษฐีให้ได้ หนังเล่นสัญลักษณ์ไปที่รถยุโรปหรูๆ ซึ่งแสดงถึงความร่ำรวยเป็นเป้าหมายของเขา

วันหนึ่งโชคก็เป็นของเขา จากความรู้และการวิเคราะห์ด้านเทคนิคที่ฝึกฝนมากว่า 5 ปี เขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาได้เงินก้อนใหญ่ในที่สุด แต่สิ่งที่ตามมาคือ มด (ไม่ยักเรียกแมงเม่าเหมือนคนไทย) อย่างเขาได้ไปขวางแผนของมาเฟีย ฮวาง จองกู (Hwang Jong-goo) ที่กำลังจะปั่นราคาหุ้นตัวนี้ ให้สะดุดลง ด้วยการแพร่ข่าวการวิเคราะห์ของเขาไปยังเพื่อน และอย่างที่หนังว่า "อย่าบอกใครนะ" เป็นเชื้อไฟชั้นดีที่ทำให้ข่าวต่างๆ แพร่หลายได้เร็วที่สุด

ดังนั้น ฮอนซู จึงเข้ามาเป็นหมากตัวหนึ่งของ จองกู และเพื่อนๆ ที่ประกอบด้วย เจ้าของบริษัทที่จะปั่นราคา, โบรกเกอร์ขาใหญ่, นักวิเคราะห์ทางทีวี, ผู้จัดการกองทุน และ สาวสวยที่ปรึกษาการเงินส่วนตัวนักการเมือง โดยที่จะทำการปั่นราคาแล้วเมื่อถึงจุดที่ต้องการก็ขายซะ โดยที่ไม่ต้องสนใจปัจจัยอะไรต่างๆ เกริ่นไว้ข้างต้นเลย เราจะเห็นว่า ความสัมพันธ์, ข้อมูลที่ดูแล้วน่าเชื่อถือ และความเชื่อของคน นั้นต่างหากครับ ที่จะทำให้ราคาหุ้นมันวิ่งขึ้นไป

ถ้าทุกคนเคารพในสิ่งที่ตกลงกันไว้ หนังเรื่องนี้คงจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ "ความโลภ" ทำให้ไปไกลกว่านั้น การหักหลัง การซ้อนแผน และการแก้เกมถูกงัดมาใช้จากตัวละครทุกคน ตามแต่ที่จะถนัด ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรง เล่ห์ ราคะ หรือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งสุดท้าย คนที่จะรอดจากหายนะมาได้ คือคนที่ยอมรับว่า "พอ" แล้วเท่านั้น

นอกจากเราจะเรียนรู้ได้ว่า การลงทุนในตลาดไม่ใช่การเสี่ยงดวง ต้องมีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งนั้นๆ แล้ว หนังยังย้อนกลับไปที่พื้นฐานการลงทุนที่ถูกต้อง คือการเลือกบริษัทที่ดี สามารถทำรายได้ให้เราในระยะยาว หรือที่เราเรียกกันว่า Value Investor ซึ่งมีตัวอย่างบุคคลมากมาย วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เป็นต้นครับ

มุมสุดท้ายที่สังเกตเห็นคือ ความเชื่อถือ หรือ เครดิต ครับ ที่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะในโลกที่ท่วมท้นไปด้วยข้อมูลข่าวสาร และเวลาที่จะศึกษาอะไรต่อมิอะไรน้อยลงไป เราอาจจะจำเป็นต้องฝากชีวิตไว้กับคนที่ท่านเชื่อถือได้นะครับ ซึ่งไม่ใช่ว่า ความดีของเขาในอดีต จะเป็นตัวรับประกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนะครับ ดังนั้นก็ขอให้พิจารณาให้ถ้วนถี่ด้วย

ก็หวังว่า ถ้าหากท่านใดคิดจะเข้าสู่โลกของการลงทุน หนังเรื่องนี้คงจะมีประโยชน์กับทุกท่านบ้างนะครับ

*******************************
หมายเหตุ
คงเป็นเรื่องบังเอิญ ที่ผมมาดูหนังเรื่องนี้ในวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของพระเอก ปาร์ค ยองฮา ในบทฮอนซู ครับ แต่ว่า ยองฮาเอง ได้ฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอไปตั้งแต่ 30 มิถุนา ปีที่แล้ว ก็น่าเสียดายดารา นักร้องฝีมือดีๆ อีกคนในวงการครับ (อ้างอิง http://movie.mthai.com/movie-news/68153.html)

June 22, 2011

มองมุมเหม่ง > เพราะเรานั้นคู่กรรม (Sin City)


แปลกใจใครกำหนด
เขียนบทคดเคี้ยวเลี้ยวมาพบ
ตอนจบแล้วแต่กรรม
******************************

เคยแปลกใจกับสิ่งที่ผ่านไปในชีวิตของเรากันไหมครับ ว่าอะไรหนอที่กำหนดให้เรามาเจอใครต่อใคร พบคนที่เป็นใคร "สักคน" ของเรา หรือเราไปเป็นใคร "บางคน" ของเขา สร้างความเวียนหัวและเรื่องราวพันพัวมากมาย กลายเป็นความวุ่นวายในโลกใบนี้ นักคิด นักปรัชญาหลายๆ คนเลยโยนให้พระพรหมเป็นแพะไป ว่าเป็นต้นเหตุทั้งปวง เกิดเป็นเพลง สร้างเป็นหนังให้บันเทิงกันอีกแน่ะ

แต่ถ้ามองในมุมของพุทธศาสนา ในเรื่องของ "กรรม" ที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมานั้น มันมีสาเหตุที่มาที่ไปจากในอดีต ทั้งด้านดี ด้านชั่ว ซึ่งถ้าพิจารณาต่อยอด สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันมาเกี่ยวพันกัน อธิบายได้ด้วยเงื่อนไข 6 ประการดังนี้

"ความดี" หรือ "ความเลว" - กับคนบางคนมาเจอกันเพราะมีวาระ หรือสถานการณ์ให้มาพบกัน ในเงื่อนไขของเรื่องดีๆ เช่น ไปทำบุญ (อันนี้ออกจะทฤษฏีไปหน่อย) ไปงานแต่งงานเพื่อน หรือ ไปเจอในที่ฝึกอบรม หรือเรียนปริญญาโท สถานการณ์เหล่านี้ มักจะคัดกรองคนมาระดับหนึ่งแล้ว ทำให้มาเจอกันแล้วมีแต่เรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นต่อไป

ในทางกลับกัน กับบางคน แม้ไม่เกี่ยวกับหน้าตา แต่กรรมก็กำหนดให้มาเจอในเรื่อง "เลวร้าย" ด้วยกัน บางคนอาจจะคิดว่า "ทำไมมาเจอไอ้นี่ แล้วเราซวยอย่างนี้หนอ" ทั้งเวลาที่ไม่เหมาะสม สถานที่อโคจร ก่อให้เกิดความซวย หรือกรรมที่ต้องมาชดใช้กัน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเรา ว่าจะเข้าใจและรู้เท่าทันเพื่อไม่ให้ถลำตัวไปกว่านี้ อย่างน้อยความลำบากต่างๆ มันก็จะสิ้นสุดกันในชาตินี้เป็นต้น

ต่อไปก็เป็นเรื่องปัจจัยด้านเวลาครับ ว่าที่เรามาเจอคนๆ นั้น มัน "ช้า" หรือ "เร็ว" - อันนี้หมายถึงช่วงอายุที่มาเจอกัน บางครั้งเราก็พบกันตั้งแต่ยังเด็ก ยังวัยรุ่นอยู่ หรือ บางคนก็มาเจอตอนอายุมากแล้ว ที่เขาถึงพูดกันไงครับ "พบไม้งามยามขวานบิ่น" "คู่แล้วไม่แคล้วกัน" "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" ฯลฯ ซึ่งมันก็มีผลพอสมควรนะครับ เช่น ถ้าเจอคนไม่ดีตอนที่เรายังเด็ก ก็ยังมีเวลาที่จะกลับตัว หรืออาจจะเสียหายไม่มาก (ตัวอย่างดาราเยอะแยะไปหมด) แต่ถ้าเจอคนดีๆ แล้ว ด้วยความเป็นเด็ก ทำอะไรวู่วาม ก็อาจจะรักษาเขาให้อยู่กับเราไม่ได้เช่นกัน (เฮ้อ)

ปัจจัยสองข้อสุดท้ายก็เป็นเรื่องของระยะเวลาเหมือนกันครับ ว่ามัน "มาก" หรือ "น้อย" แค่ไหน - บางคนเราอาจจะทำบุญร่วมกันมาเพียงแค่นี้ ดังนั้น ช่วงเวลาแห่งความสุขระหว่างเราสอง มันอาจจะน้อยกว่าที่คิด หรือบางคู่นั้น อาจจะต้องอยู่ร่วมเวร ร่วมกรรม มีทุกข์กันไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้

เหล่านี้ก็เป็นปัจจัยที่อยากจะฝากให้พิจารณากันครับ เพราะเมื่อถึงจุดที่กรรมมันหมดลง หรือชำระบัญชีกันอย่างเรียบร้อยแล้ว เรื่องราว หรือ บุคคล ทั้งดีๆ ทั้งร้ายๆ ก็จะออกไปจากชีวิตของเราเอง ขึ้นอยู่กับว่า เราจะดันทุรัง ก่อเวร สร้างกรรมใหม่ ให้มันเวียนวนเป็นวัฏจักรกันต่อไปไม่รู้จบ หรือจะอโหสิกรรมต่อกันให้แล้วๆ ไปหรือเปล่าเท่านั้นครับ

เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ ขอความสวัสดีจงมีแต่สุภาพชนทุกคนครับ


June 15, 2011

เป็นเรื่อง > นอนไม่หลับ (Sleepless Society)



.... กี่โมงแล้วว่ะเนี่ย .. กลิ้งไปกลิ้งมาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่หลับซะทีว่ะ ...

วุธ ลุกขึ้นมา เอื้อมมือไปคลำๆ เปิดไฟเล็กๆ หัวเตียง แสงสะท้อนจากนาฬิกาปลุกเรือนเล็กๆ บอกเวลาตี 1 กว่าแล้ว

... เฮ้อ วันนี้งานแม่งก็โครตเยอะ ต้องวิ่งไปโน่นไปนี่วุ่นไปหมด อยากพักเร็วๆ ก็นอนไม่หลับอีก...

หลังจากอดทนนอนอยู่บนฟูกราคาถูกขนาด 3 ฟุต ในห้องเช่าเล็กๆ ได้ไม่ถึงอึดใจ ความอดทนก็ตอนอวสาน เขาลุกขึ้นมาเปิดไฟกลางห้อง หยิบหนังสือมาอ่าน แต่ความกังวลเรื่องนอนไม่หลับก็ยังกวนใจเขาอยู่

... ถ้าพรุ่งนี้ตื่นไปทำงานสาย ซวยแน่เลย ไอ้บ้านั่นมันต้องเล่นงานเราแน่ๆ ...

"ไอ้บ้า" ที่ว่านั้น คือหัวหน้าที่เป็นไม้เบื่อไม้เมามาตั้งแต่ที่เขาย้ายมาอยู่แผนกนี้ เนื่องจากกิติศัพท์จากความ "แรง" ของเขานั่นเอง

... ยังไงๆ ก็นอนไม่หลับ กินยาสักเม็ดล่ะกัน อ่ะ สองดีกว่า ชัวร์ดี ...

ยานอนหลับสองเม็ดไหลลงลำคอ พร้อมๆ กับละลายความว้าวุ่นใจไปได้บางส่วน เผยให้สติได้ปรากฏตัวอีกครั้ง

... เออ เสียงตึงๆๆ ข้างนอกนี่อะไรว่ะ ดึกแล้วไม่ยอมนอน มึงจะรื้อบ้านกันตอนตี 1 เนี่ยนะ เฮอะ เอาวะ เดี๋ยวยาออกฤทธิ์ กูก็สบายแล้ว ...

หลังจากปิดไฟ เปิดพัดลมไล่อากาศที่อบอ้าว เอนหลังลงไปบนที่นอน น่าจะราวๆ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

... อะไรว่ะ ตาแม่งยังค้างอยุ่เลย เมื่อเย็นกินอะไรผิดไปหรือเปล่า เออว่ะ ตอนเย็นกูกินอะไรไปว่ะ เฮ้ย ทำไมนึกไม่ออกเนี่ย นอนไม่หลับแถมยังความจำเสื่อมอีกเร๊อะ หรือว่าเราแม่งกินยาเยอะไปแล้ว ...

เมื่อความสงสัยก่อตัว วุธลุกขึ้นมาอีกครั้ง หยิบขวดยานอนหลับมาอ่านฉลากให้หายข้องใจ

... เวรแล้วไหมล่ะ แม่งหมดอายุไปแล้วนี่หว่า กูจะตายไหมเนี่ย มิน่า ถึงนอนไม่ค่อยหลับ จำอะไรก็ไม่ได้อีก...

เดินไปค้นๆ ถุงใส่ยาเก่ายาใหม่ที่รวมๆ ไว้บนหลังตู้เย็น เหลือบเห็นซองมาม่าที่ฉีกไว้ในถังขยะข้างๆ

... อ้อ ต้มมาม่ากินนี่เอง อ้าว เจอแล้ว นี่ไง ยาขวดใหม่ ยังไม่หมดอายุด้วยแฮะ ...

เขาเปิดขวดเทยาออกมา คราวนี้ล่อไป 3 เม็ด แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอานาฬิกาปลุกที่ตั้งเวลาไว้ 6 โมงเช้าเป๊ะ ไปวางไว้หลังตู้เย็น มั่นใจได้ว่า เสียงนาฬิกาต้องลากเขาลุกจากเตียงจนได้ เดินไปปิดไฟ ล้มตัวนอนลง เลิกคิดถึงแกะที่เข้าแถวให้นับ ยิ้มกริ่มในใจกับยาที่กำลังจะออกฤทธิ์ในไม่ช้า

... ... ... ... ??? ... !!! ... เฮ้ย เมื่อไรจะหลับวะ กี่โมงแล้วเนี่ย ตี 2 กว่า โอ๊ย กูจะบ้าตาย แล้วห้องข้างๆ เมื่อไรมันจะเงียบสักที เอากันอยู่หรือไงวะนั่น ...

ตั้งใจจะลุกขึ้นมาครั้งสุดท้าย ไม่งั้นต้องส่ง SMS ฝากเพื่อนลางานวันพรุ่งนี้แน่ๆ รู้ทั้งรู้ว่าร่างกายมันล้าๆ อยากพักผ่อน แต่ดันนอนไม่หลับ ลุกขึ้น ฝืนใจ ก้มหน้าวิดพื้นไปอีก 3 เซต ยืนกระโดดตบ ชกลมให้มันเหนื่อยสุดๆ จนมานั่งเหงื่อซึมตากพัดลมริมที่นอนอีกครั้ง

... คราวนี้ถ้าไม่หลับก็จี้แล้ว กูเอาแรงออกซะขนาดนี้ เออ ตบยาอีกสัก 3-4 เม็ดดีกว่า ให้แม่งสลบไปเลย ...

รอบนี้เขาเพิ่มความมั่นใจ ด้วยการอดทนเคี้ยวยาให้ละเอียด เพื่อเร่งการดูดซึมให้เร็วยิ่งขึ้น ถอดเสื้อเพื่อให้ร่างกายให้เย็นสบายที่สุด เอาแถบคาดตามาปิดเพื่อไม่ให้แสงสว่างใดๆ ลอดเขามาได้ พร้อมหูฟังเพลงโปรดที่เปิดเวียนไปไม่รู้จบ

... ... ... ... ??? ... !!! ... เวร เอ๊ย แม่งไม่หลับว่ะ คราวนี้เอาไงดีว่ะเนี่ย ...



**********************************************



"เอาไงดีครับจ่า ทุบตั้งนานแล้ว ไม่มีใครมาเปิดเลย" ชายฉกรรจ์ 2-3 คนในชุดกู้ภัยเอ่ยถามเจ้าหน้าที่เวร เหมือนจะขออนุญาตเพื่อทำการที่รุนแรงยิ่งขึ้น

"งั้นก็พังเข้าไปเลย" เขาตัดสินใจอย่างไม่เกรงใจเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่ยืนข้างๆ เมื่อเทียบกับสภาพของห้องเช่าราคาถูกๆ แบบนี้

กลิ่นเน่าฉุนกึกลอยสวนออกมาเต็มรูจมูก เมื่อบานประตูข้างหน้าล้มลงด้วยแรงถีบจากทีมกู้ภัย เจ๊เจ้าของอพาร์ตเมนต์ถึงกับสะดุ้งกับภาพที่เห็น ร่างของวุธที่ปกติผอมเกร็งกลับกลายเป็นคนละคน บวมฉุแทบจะทุกส่วน เสื้อก็ไม่ใส่ แถบปิดตาปริตึงด้วยแรงดันภายใต้ใบหน้าของเขา ของเหลวสีเหลืองสีแดง ไหลออกจากปากและจมูกจนที่นอนกาบมะพร้าวถึงกับชุ่มโชก




**********************************************

... เออ เมื่อกี้ยานอนหลับมันเหลืออีกกี่เม็ดว่ะนั่น ...