November 21, 2010

มองมุมเหม่ง > วันลอยกระทง

วันนี้วันลอยกระทง มีงานหลายอย่างที่ต้องกระทำ เริ่มจากทอดไข่นกกระทา กินแล้วก็อย่าลืมล้างกระทะ จากนั้นเปิดคอมนั่งตั้งกระทู้ แล้วดูหุ้นกระทิง ตอนเย็นก็นัดสาวกระทบไหล่ จนกระทั่งค่ำก็ไปเที่ยว แต่อย่าเปรี้ยวไปกระทุ้งกระแทกใคร ให้โดนกระทืบ น่วมเป็นกระท้อน แล้วต้องมานอนซมในกระท่อม เพราะเนื่องมาจากวันลอยกระทง

(ขอขอบคุณ พจนานุกรม ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน และวันลอยกระทงที่ผมไม่เคยให้ึความสำคัญ)

October 6, 2010

เป็นเรื่อง > สยองโหดดีเจสาว (Hey DJ, I Will Kill You)



เมย์ (สเตซี่ เฉิน) เป็นดีเจรายการวิทยุภาคดึก เธอมีรูปแบบการจัดรายการที่แตกต่างจากดีเจคนอื่นๆ โดยที่จะเน้นการพูดคุย และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตรักจากผู้ฟังทางบ้าน ซึ่งเป็นรายการที่ได้รับความนิยมมาก

วันหนึ่ง มีสายจากผู้ฟังโทรเข้ามาปรึกษาปัญหาส่วนตัวที่แฟนหนุ่ม มีพฤติกรรมนอกใจ จะหนีไปมีผู้หญิงอื่น

(ทางเลือกที่ 1) เมย์ เลือกที่จะให้ใช้ไม้นวมเพื่อดึงให้แฟนหนุ่มอยู่ แทนที่จะใช้ความรุนแรง และจบลงด้วยการหย่าร้าง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเธอเองในอดีต

หลายวันต่อมา ขณะที่เมย์กำลังจะกลับบ้านนั้น ปรากฏว่าเธอโดนผู้หญิงคนหนึ่งตามมาฆ่า ซึ่งผู้หญิงคนนั้นคือ แมกกี้ (วิิิเวียน หว่อง) คนที่เธอให้คำแนะนำไปนั่นเอง แมกกี้โทษว่า เพราะคำแนะนำของเมย์ ทำให้แผนการกักขัง ไมเคิล (อเล็ก คิว) ให้อยู่กับเธอตลอดไปนั้นล้มเหลว ไมเคิลหนีไปได้ และกำลังจะแจ้งตำรวจให้มาจับเธอ เธอจึงคิดที่จะฆ่าเมย์เพราะเป็นต้นเหตุ

(ทางเลือกที่ 2) เมย์ เลือกที่จะให้ผู้ฟังใช้ความเด็ดขาดกับแฟนหนุ่ม เพื่อเป็นการกำหราบ เธอแนะนำวิธีการต่างๆ อย่างสนุนสนาน เพราะคิดว่าผู้ฟังไม่น่าจะจริงจังกับความคิดเห็นของเธอ

หลายวันต่อมา ขณะที่เมย์กำลังจะกลับบ้านนั้น ปรากฏว่าเธอโดนผู้ชายคนหนึ่งตามมาฆ่า ซึ่งผู้ชายคนนั้นคือ ไมเคิล (อเล็ก คิว) แฟนของคนที่เธอให้คำแนะนำไป, แมกกี้ (วิเวียน หว่อง) จริงจังกับวิธีการของเมย์ ทำให้เลือกที่จะทรมาน และตัดขาของไมเคิล เพื่อให้เขาอยู่กับเธอตลอดไป แต่ไมเคิลกลับฆ่าแมกกี้ และหนีออกมาได้ เขาคิดว่า เป็นเพราะเมย์ที่ทำให้เขาต้องเป็นอย่างนี้ เขาจึงตามมาล้างแค้นเธอ

แล้วสุดท้าย ใครล่ะที่จะมาช่วยเมย์ให้รอด???

********************************************************
บทสรุป
- การให้คำปรึกษาในแนวทางจิตวิทยา เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และซับซ้อน ผู้ให้คำปรึกษาต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ และข้อมูลเบื้องหลังของผู้รับการรักษา การพูดคุยเพียง 2-3 นาที ทั้งยังไม่ได้เห็นหน้ากัน ไม่เพียงพอที่จะแนะนำแนวทางใดๆ ได้ อาจจะส่งผลเลวร้ายซึ่งเกินกว่าผู้ให้คำปรึกษาจะรับผิดชอบได้
- แต่สังคมไทย มักจะอายที่จะไปหาจิตแพทย์ จึงมักปรึกษากับเพื่อนฝูง หรือ ผู้ที่อาวุโสกว่า จึงอาจจะไม่ได้แนวทางการแก้ไขที่ถูกต้อง

********************************************************
หมายเหตุ
1) พล็อตเรื่องเป็นแนวหนังทริลเลอร์ ฮ่องกง ซึ่งเคยได้รับความนิยมเมื่อประมาณยุคปี 90
2) แรงบันดาลใจจากรูปแบบการจัดรายการวิทยุ ที่มีการแข่งขันกันสูง สถานีต้องนำเสนอสิ่งอื่นๆ ที่มากกว่าเสียงเพลง และข่าวสาร
3) หนังเรื่องนี้ และรายชื่อนักแสดง ไม่มีอยู่จริง ไม่จำเป็นต้องไปเสิร์ช หรือหามาดู เป็นเพียงการสมมติของเจ้าของบล็อกเท่านั้นครับ

September 30, 2010

มองมุมเหม่ง > ทั้งหวาน ทั้งขม (ฺBitter Sweet)

ทำได้ตามหน้าที่
แค่พอดีแต่ไม่ดีพอ
อย่ารอที่จะต่าง
*****************************************************

ณ จุดแวะพัก บนเส้นทางมอเตอร์เวย์ มีร้านกาแฟมากมายหลายร้าน เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง จัดว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของกาแฟ "ตรานางเงือก" ถึงขนาดที่ว่ามีบัตรเติมเงินไว้จ่าย และทักทายพนักงานในร้านได้ เหมือนบ้านตัวเอง

ผมเองไม่ใช่คอกาแฟ และไม่เคยขัดใจให้เพื่อนประหยัด แวะไปกินกาแฟร้านอื่นที่ราคาถูกกว่า 2-3 เท่า แต่ก็รับรู้ได้ว่า ความแตกต่าง และ สิ่งที่ทำให้ร้านนี้ ยังคงความนิยมได้ตลอดมาก็คือ การจัดการที่มีมาตรฐาน รสชาติที่แน่นอน บรรยากาศในร้าน และคุณภาพของพนักงาน

แต่วันนี้ไม่ได้จะมานั่งวิเคราะห์ความสำเร็จ ให้ทุกท่านได้อ่านกันหวานๆ ขมๆ เพราะมีมากมายหลายบทความ ได้พูดถึงกันอย่างเจาะลึกไปแล้ว แต่เป็นสิ่งที่เห็นเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากเล่าให้ัฟังในแง่มุมของนักบริหารครับ

ขาออกไประยอง ผมสั่ง Iced Mocha เพื่อนสั่ง Cappuccino ขนาดกลาง 2 ถ้วย ก็ประมาณ 200 บาท ระหว่างที่รอจ่ายเงิน เพื่อนเหลือบไปเห็นโปรโมชันล่าสุด "ซื้อ 300 บาท รับฟรี พวงกุญแจ..." ดีกรีแฟนพันธุ์แท้อย่างนี้ จะพลาดได้ไง

"น้อง ตอนนี้บิลพี่เท่าไร" -- "200 ครับ"
เพื่อนหันมาทางผมทันที "เฮ้ย มึงไปดูดิ เอาอะไรมาอีก 100 นึงก็ได้"
"เออ พี่ครับ ขอโทษครับ" พนักงานเก็บเงิน ทำหน้าเซ็งๆ

"ตอนนี้ผมออกบิลไปแล้วครับพี่ กติกาบอกว่า พี่ต้องซื้อได้ 300 ในบิลเดียวกันครับ" -- "อ้าว ไม่ได้เหรอ ถ้าได้เนี่ย เพื่อนพี่เลือกแซนวิชเพิ่มเลยนะ"
"ไม่ไ้ด้ครับพี่"

หน้าเซ็งๆ ถูกส่งผ่านมาที่เพื่อนผมแทน "เออๆ คิดเงิน" พร้อมกับคาปูชิโน่รสแย่ที่สุดในวันนี้
*****************************************************

ขากลับก็แวะอีก น้องพนักงานเก็บเงิน เป็นสาวน้อยน่ารัก ยิ้มแย้ม (เกี่ยวกับเรื่องนี้ตรงไหนเนี่ย) รอบนี้เปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้ปั่น กับ กาแฟ (ไม่ต้องเดาว่าใครเป็นนางเอก ใครเป็นพระเอก)

"ราคาเท่าไรน้อง" -- "250 ค่ะ"

ผมหันไปกระซิบบอกเพื่อน "มึงลองถามเรื่องพวงกุญแจดิ"
"เออ เนี่ยพวงกุญแจเนี่ย อยากได้ทำไงอ่ะ" -- "อ้อ พี่ต้องซื้อครบ 300 ในบิลเดียวนะคะ"

"อ้าว แต่นี่จ่ายไปแล้วนี่ พี่ซื้อคุกกี้เพิ่มอีกจะพอไหม"
น้องหยุดคิดนิดนึง
"ค่ะ พี่คุกกี้อีกชิ้นนึง ราคา 60 รวมแล้ว 310 บาท ได้ค่ะ" ว่าแล้วก็กดเครื่องอีกครั้ง
*****************************************************

บนโซฟา คุกกี้ในปาก (ของผม) กำลังละลายไปกับน้ำเบอรี่ปั่น และใบหน้าสมหวังของเพื่อน
"ดีใจไหมท่าน ได้พวงกุญแจแล้ว" -- "เออว่ะ"
"มึงเห็นไหม ว่าเด็กสองคนนี้มันต่างกันยังไง" -- "ต่างดิ คนนึงน่ารักกว่าอีกคนนึง"

"เฮ้ย...ไม่ใช่ คนแรกมันทำหน้าที่ตามกฏเกณฑ์ที่บริษัทวางไว้ มันไม่ผิดหรอกนะ เพราะกฏมันว่าไว้อย่างนั้น แม้ว่าการตัดสินใจของน้องเอง ทำให้ร้านอดได้เงินเพิ่มอีก 100 บาทก็ตาม"

"แต่คนที่ 2 กลับคิดว่า ถ้าร้านนี้น้องมันเป็นเจ้าของเอง เงินที่ได้เพิ่มอีก 60 บาท กับรอยยิ้มของมึง มันคุ้มที่จะเสี่ยงให้โดนด่าว่ะ แต่เชื่อไม๊ ใครจะกล้าด่าวะ"

เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่แค่ที่ร้านกาแฟนี้เท่านั้น มันเป็นปกติของทุกบริษัท ขึ้นกับมุมมองของผู้บริหารว่าจะ "มอง" ลูกน้องแบบไหน ถ้าคิดว่า ลูกน้องมีแนวโน้มจะโกง ก็จะออกกฏในเชิงป้องกัน กลายเป็นว่า "จำกัด" ไปซะทุกอย่าง ท้ายที่สุดแล้ว คนที่ทำดี อาจจะโดนทำร้ายได้ แต่ถ้า "ปล่อย" เกินไป ก็จะเป็นช่องโหว่ให้คนโกงได้

ดังนั้นแล้ว "ศิลปะ" ในการกระจายอำนาจให้สมดุลนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งนัก เพราะในสภาพที่บริษัทกำลังจะเติบโต เราอาจจะต้องการคนที่กล้าตัดสินใจ คิดในมุมมองของเจ้าของ แต่ถ้าบริษัทมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น พนักงานมากมาย กฏระเบียบในระดับที่เหมาะสมก็อาจจะจำเป็น แม้ว่าต้องแลกมาด้วยอัตราการเติบโตที่น้อยกว่าในตอนเริ่มต้นก็ตาม

ก็หวังว่าทุกท่านคงจะ "มองเห็น" และได้กลิ่นหอมเพิ่มเติมหลังถ้วยกาแฟบ้างนะครับ

September 27, 2010

มองมุมเหม่ง > “ทนอยู่” หรือ “อยู่ทน” (Dead Or Alive)

อยู่ไปไม่พึงใจ

ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัว

ที่กลัวเพราะไม่รู้

*******************

ได้รับรีเควสท์ (Request) จากคนคุ้นเคย มิตรรักแฟนเพลงให้ลองเสนอมุมมองเกี่ยวกับ ทนอยู่ กับ อยู่ทน ให้หน่อยว่า นายเหม่งจะมองมันยังไงได้บ้าง


ครับ ก็สนุกดีที่จะได้ โจทย์ จากคนอ่านมาช่วยจุดประกายความคิด ในภาวะยุ่งๆ หัวสมองตีบตันอย่างนี้


ถ้าฟังเผินๆ คนเรามักจะรู้สึกดีกับวลี อยู่ทน และมองภาพในแง่ลบนิดๆ กับคนที่ ทนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน หรือเรื่องใดๆ ภาพของคนที่ อยู่ทน นั้น เป็นภาพของคนที่อดทน มีความรัก ความพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ ปรับตัวได้ในสภาวะต่างๆ


ต่างกับภาพของคนที่ ทนอยู่ ที่มักจะเป็นเรื่องอึดอัดใจ จำยอมกับสิ่งที่เป็น ไม่มีหนทางไป เหม็นเปรี้ยวกับชีวิตไปวันๆ ส่งผลต่อคนรอบข้างในแง่ลบไปทั้งหมด ซึ่งเขาก็มีเหตุผลของเขา ซึ่งบางทีก็เข้าใจได้บ้าง ไม่ได้บ้างตามพื้นฐาน อัตภาพความคิดของคนฟัง เหล่านี้มักลงท้ายด้วยความเห็นใจ ปลอบใจ แกมงงงง พร้อมกับคำถามที่ว่า แล้วจะทนไปทำไมว่ะ??


ลองมาคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว คนทั้งสองแบบนี้ ล้วนไม่ต่างกันกับสิ่งที่เขาเลือกนะครับ ทั้งสองคนต่างก็อยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป


แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ วิธี มอง ปัญหา และ ทัศนคติ ที่จะอยุ่กับมัน ครับ


คนที่ อยู่ทน นั้นจะมีวิธีมองปัญหา หรือ สภาพแวดล้อม อย่างสร้างสรร ยอมรับความเป็นจริงได้มากกว่า ยกตัวอย่างเพื่อนร่วมงานผมหลายๆ ท่านที่อยู่กับบริษัทมาจนได้โล่ได้ทองมาเต็มบ้านนั้น เขาเข้าใจสภาพของการแข่งขัน หัวโขนในการขึ้นลงของตำแหน่งต่างๆ รวมถึงการเข้ามาแลจากไปของหัวหน้าชาวต่างชาติ


แต่คนที่ ทนอยู่ นั้น จะยึดติดกับสภาวการณ์ในตอนนั้นเกินไป ไม่ได้มองถึงผลกระทบ ประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดมาก่อน และแนวโน้มที่จะเป็นไปในอนาคต ทำให้อดทนไม่ได้ จนบางทีก็ด่วนตัดสินใจหุนหันกันอย่างน่าเสียดาย


ดังนั้น ถ้าเริ่มรู้ตัวว่า เรากำลังจะกลายเป็น ทนอยู่ แมน และยอมไม่ได้ขนาดนั้น ก็ต้องมานั่งวิเคราห์กันว่า ในปัญหา หรือ สถานการณ์เหล่านั้น มี มุมบวก อะไรบ้าง ถ้าเป็นเรื่องของบุคคล เราลอง สวมหมวก ใส่ความรู้สึกของเขาบ้าง ว่าทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้น แล้วเรา ยึดติด อะไรเกินไปหรือเปล่า การสื่อสารระหว่างบุคคลเป็นอย่างไร เราต่าง พูด ตามที่เราคิด หรือเรา เห็น คนอื่น ตามภาพที่เรา คิด หรือเปล่า


หรือถ้าเป็นเรื่องงาน บางทีต้องกลับไปมองวัตถุประสงค์ที่เราต้องการเดิมว่า ระหว่างทางที่เดินมา เราเขวออกนอกทางไปหรือไม่ ลืมไปหรือเปล่าว่าเราต้องการอะไร หรือว่าวิธีการทำงานที่ออกแบบไว้มันไม่เอื้อต่องานนี้หรือเปล่า ที่พบเห็นส่วนใหญ่ อาจจะเป็นเพราะทำงานกันตาม ความเคยชิน ที่ทำต่อๆ กันมา โดยไม่รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว


เชื่อได้ว่า ถ้าหากเราลองหยุดที่จะไตร่ตรองปัจจัยต่างๆ เหล่านี้แล้ว พวกเราจะ อยู่ทน กันมากกว่านี้ครับ

September 13, 2010

มองมุมเหม่ง > ผู้ชายกับหมาที่ไม่ได้มาจากดาวอังคาร (Love Me Love My Dog)

ต่างรูปไม่ต่างใจ
อ่อนไหวร้องไห้เป็นเช่นกัน
ผูกพันอย่างสันติ
********************************

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต เริ่มจากน้องชายได้นำลูกหมาหลังอานสีดำมาให้เป็นของขวัญ ซึ่งทำให้ผมคิดถึงเรื่อง "หมาๆ" ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะผมเองก็ได้มีโอกาสเลี้ยงหมาราวๆ 3-5 ตัว แต่บางตัวก็โชคดีที่ตายตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ต้องลำบากเป็นหมาอีกต่อไป แต่ก็มี 3 ตัวที่ยังอยู่ในความทรงจำ จนอยากจะเล่าสู่กันฟังบ้าง

เริ่มจากตัวแรก เป็นหมาที่แม่มันแอบมาคลอดในบ้าน พี่ๆ น้องๆ ของมันตายไป เหลือแต่หมาขนสีทองเพียงตัวเดียว มันเลยได้ชื่อแบบง่ายๆ ว่า "ทอง"

ทองเป็นหมาที่ฉลาดพอสมควร รักความอิสระ ในบางเวลาก็จะแอบๆ ออกไปเที่ยวเล่นบ้าง ทองก็จะเป็นหมาที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ ตามประสาหมาตัวเดียว ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอน แถมคนเลี้ยงก็ชิลๆ
ไม่ได้เน้นในเรื่องการฝึกฝน วินัยของหมาก็ทำให้ไปกันใหญ่

แล้ววันหนึ่ง บ้านเราก็มีโอกาสได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ตัวที่ 2 เป็นหมาลายดำๆ ด่างๆ น้องผมให้ชื่อว่า "ลักกี้" ชื่อฝรั่งตามสมัยนิยม แต่ลักกี้ไม่โชคดีสมชื่อ วันหนึ่ง ลักกี้รีบวิ่งออกไปรับเจ้านายคือน้องชายของผม
ด้วยอารามดีใจ ทำให้โดนรถชนที่ขา บาดแผลได้ลุกลามจนขาเน่า หมอหมาให้เราเลือกว่า จะตัดขาเพื่อไม่ให้แผลลุกลาม หรือปล่อยให้มันตาย ทำให้ลักกี้กลายเป็นหมา 3 ขา ส่งผลให้มันขาดความมั่นใจในการเข้าสังคม โดนหมาหลายตัวรังเกียจ รวมถึงเด็กๆ ที่จะคอยแกล้งมัน หลังจากนั้น ลักกี้กลายเป็นหมาที่เก็บตัว เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่แต่ในบ้าน สิ่งที่พวกเราพอทำได้ คือเล่นกับมันบ้าง ดูแลมันใกล้ชิดมากขึ้น

แม้ว่าเจ้าทองจะรู้สึกว่า ความรักบางส่วนได้ไหลไปยังลักกี้ แต่ด้วยสภาพที่น่าสงสารอย่างนั้น บางครั้งเราก็เห็นว่าเจ้าทองจะปกป้องลักกี้จากการถูกรุม "หมาหมู่" จากหมาแถวบ้านเหมือนกัน

แล้ววันหนึ่ง ระหว่างที่สมาชิกในบ้านกำลังตักบาตรอยู่นั้น หมาอีกตัวที่เดินตามหลวงพ่อมาจากวัด ก็เดินเข้ามาอยู่ในบ้านอย่างเนียนๆ หน้าตาเฉย

ด้วยตัวที่ดำล้วนๆ แต่จำแนกสายพันธุ์ไม่ได้ มันเลยได้ชื่อแบบขำๆ ว่า "เจ้าปื้ด" และความที่เป็นหมาเด็ก ปัญหาอย่างแรกที่ปื้ดต้องเผชิญคือ "โดนรังแก" ครับ แต่ไม่ใ้ช่จากหมาด้วยกัน แต่เป็น "หนู" ที่วิ่งอยู่ในท่อระบายน้ำข้างบ้าน ซึ่งบางทีก็แวะมาเดินหย่อนใจในบ้านเราให้สาวๆ หรือหนุ่มๆ ในบ้านได้กรี๊ดกร๊าดกระตู้วู้พอครึกครื้น

ปื้ด โดนหนูรุมกัด ทำให้ต่อมาเมื่อมันโตขึ้น ปื้ดเริ่มภารกิจล้างแค้น ด้วยการไล่กัดหนูโดยไม่สนใจว่าจะเป็นรุ่นไหน หรือพ่อใหญ่มาอย่างไร ปื้ดกัดดะ จนสร้างความประทับใจให้กับคนในบ้าน โดนเฉพาะสาวใช้ของเราที่รังเกียจหนูเป็นยิ่งนัก

ความโดดเด่นของปื้ดไม่ได้พ้นสายตาของ เจ้าทอง เลย ครั้งหนึ่ง ผมเห็นได้ชัดเจนถึงความอิจฉาระหว่างหมาด้วยกัน ที่ เจ้าทอง ลงมือ "สั่งสอน" ปื้ด เมื่อมันจะกินข้าวในชามของเจ้าทองก่อนตัวเจ้าของเอง (ที่บ้านเลี้ยงหมาโดยแชร์ที่กินข้าวกัน นัยว่า เหมือนธรรมเนียมไทยๆ เรา)

ผมได้ตำหนิมันด้วยเสียงที่เจ้าทองไม่คิดว่านายมันจะโมโหได้ขนาดนี้ "เฮ้ย ทอง ทำไมไม่เสียสละให้น้องกินก่อน อย่าเห็นแก่ตัวสิ" เจ้าทองเดินกลับหลังหันทันที ไปนั่งงอนอย่างเงียบๆ และเมื่อผมเดินเข้าไปเพื่อเรียกให้มันมากินข้าว มันกลับประชดด้วยการเดินหนี และยอมที่จะอดข้าวมื้อนั้น ไม่ยอมเล่นกับผมเหมือนเคย

แต่ในขณะเดียวกัน ลักกี้กลับเป็นพี่ที่ดี คอยดูแลให้เจ้าปื้ดได้กินอาหารก่อน เล่นเป็นเพื่อนบ้าง นับได้ว่า เรามองหมาจากภายนอกอย่างเดียวไม่ได้จริงๆ

หลังจากนั้น เจ้าทอง เริ่มที่จะออกไปข้างนอก ไม่กลับบ้านบ่อยๆ เรียกว่าเป็น "หมาใจแตก" ก็ได้ จนบางครั้ง ต้องให้สาวใช้ในบ้าน หรือพ่อผมไปตามหา ซึ่งก็ไม่ใก้ลไม่ไกล แถวๆ ตลาดสดละแวกบ้าน และในที่สุด มันก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย ถ้าใครได้อ่านบทความนี้และอยู่แถวๆ ตลาดบางกระบือ คุณอาจจะเห็นหมาขนสีทอง ที่ผ่ายผอม ปลอกคอสีแดงเก่าๆ ก็อาจจะเป็น "เจ้าทอง" ก็ได้

เมื่อทองไม่อยู่ ลักกี้ก็เิริ่มซึมๆ ยิ่งตอกย้ำว่า มันเป็นหมาที่มีจิดใจดี รักพี่รักน้องมาก ประกอบกับร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ บอบช้ำภายใน ไม่นานนัก ลักกี้ก็ตายตามไปอย่างเงียบๆ นำมาซึ่งความโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง

เจ้าปื้ดกลายเป็นหมาตัวเดียวในบ้าน เมื่อโตขึ้น ยิ่งเห็นชัดว่ามันน่าจะเป็นหมาลูกครึ่งแน่ๆ ด้วยขนที่มันปลาบ ร่างกายใหญ่โต แต่แปลกที่มันกลับไม่มีทีท่าสนใจหมาสาวๆ เลยซักนิดเดีียว ไม่เคยที่จะไปทะเลาะกับหมาข้างบ้านเพื่อแย่งสาวๆ จนเราก็แปลกใจว่า มันจะเป็นเกย์ไหมเนี่ย เสียดายที่หมอไม่รับตรวจ หรือมันไม่มีทีท่าสะดีดสะดิ้งให้เห็น ถ้าเป็นเกย์ มันคงเป็นเกย์คิงละนะ

กลับมาที่เจ้าหมาหลังอานตัวล่าสุดบ้าง เราเรียกมันว่า "จีจี้" ชื่อสาวๆ แต่เป็นหนุ่มทั้งแท่ง ถ้ามันรู้ความหมายคงโวยวายบ้านแตกไปแล้ว จีจี้เพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน แต่เราก็สังเกตได้ว่า มันเป็นหมาที่รักสะอาดมาก ครั้่งหนึ่งเวลาประมาณ ตี 3 มันตื่นมาอึเพราะปวดท้อง มันเดินมาปลดทุกข์หน้าบ้าน แล้วก็เริ่มส่งเสียงเรียกให้เราตื่นไปเก็บผลงาน ทำความสะอาด เมื่อเห็นว่าเราทำได้เรียบร้อยแล้ว มันก็เดินนวยนาดกลับเข้าไปนิทรารมณ์ต่ออย่างสบายใจ

เช่นเดียวกับเรื่องการกิน ถ้าอาหารคิดว่าอาหารของมันไม่สะอาดและไม่น่ากินพอ มันก็จะเิริ่มเห่าเรียกคนในบ้านไปเปลี่ยนให้เช่่นกัน

คิดว่าต่อไป สมาชิกในบ้านก็คงต้องเรียนรู้ และมีเรื่องราวอื่นๆ ที่ "หมาๆ" ได้สอนให้ "คนๆ" อย่างเราได้เข้าใจเกี่ยวกับหมาได้มากขึ้นครับ

September 8, 2010

มองมุมเหม่ง > การศึกษาไทย ไปไหนกันดี (School Of Rock..Knock Out Thailand)

พ่อแม่ต่างรักลูก
มีทั้งถูกผูกผิดคิดกัน
รู้ทันหมั่นแก้ไข
**********************************

สัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสเข้าพบและแสดงความยินดีกับท่านคณบดีคนใหม่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ลาดกระบัง (ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์) ช่วงหนึ่งของการสนทนา ท่านขอให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบการศึกษาในมุมมองคนทำงาน ลูกจ้างมืออาชีพอย่างเราว่าคิดเห็นอย่างไร

เริ่มจากสมัยก่อน พ่อแม่จะเลือกโรงเรียนให้ลูกๆ จากชื่อเสียง (ความเก่าแก่ ศิษย์เก่า) หลักสูตร (เสริมภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก) หรือ สังคม (ลูกหลานเศรษฐี นักการเมือง ข้าราชการ) ทำให้จำกัดวงแค่ไม่กี่โรงเรียนเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าตัวเด็กเองจะเอาอ่าว ไม่เอาถ่านอย่างไร ปัจจัยอื่นๆ ก็พอจะส่งเสริมให้ดำเนินชีวิตไปได้บ้างตามอัตภาพ และกรรมเก่า

ราวๆ 20 ปีให้หลัง ความขลังของภาษาอังกฤษเิิริ่มจางลงด้วยโลกที่เปิดกว้างขึ้น กับจำนวนผู้จบจากต่างประเทศที่เติบโตเป็นพ่อแม่ยุคใหม่ พร้อมกับแนวคิดการสร้างครอบครัวที่ต่างออกไปจากยุคพ่อแม่รุ่นแรก โดยมีลูกน้อยลง แต่ทุ่มเทและคัดสรรมากขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของคนรุ่นใหม่ ที่เน้นความสำเร็จจากการสร้างตนเอง ให้สายสัมพันธ์เป็นเรื่องรอง (เพราะใครๆ ก็ "เส้นหญ่ายยย" กันทุกคน)

ทำให้รูปแบบการเลือกโรงเรียนเดิมๆ กลายเป็น โรงเรียนนานาชาติ หรือหลักสูตร เอาเด็กเป็นศูนย์กลาง (Child Center) เริ่มมีภาษาที่ 3,4,5 มาประกอบให้เวียนหัวมากกว่าเดิม (ขอแทรกหน่อย - เรื่องการเีรียนภาษานั้น เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้ถึง 3-4 ภาษา ในเวลาเดียวกัน แต่ขึ้นกับการสอนและดูแลที่ถูกวิธีของพ่อแม่ด้วย) หรืออย่างภาษาจีนที่ยุคหนึ่ง เป็นเรื่องต้องห้าม แต่ปัจจุบันใครๆ ก็อยาก "หนีเห่า" กันทั้งนั้น

ต่อไปก็เป็นเรื่องการเปลี่่ยนแปลงของเทคโนโลยี สมัยก่อนที่ไอทียังเป็นเรื่องเดียวกับมนตรามายานั้น ใครใคร่จะหาความรู้อะไร ต้องไปห้องสมุด จมจ่อมกันทั้งวัน แต่สมัยนี้ แค่มีคอมฯ กับเน็ต และอากู๋กูเกิล เรื่องอะไรๆ ก็ง่ายไปซะทั้งหมด

แต่สิ่งที่มันชวนปวดหัวให้กับอาจารย์ๆ พ่อๆ แม่ๆ ในปัจจุบันคืออะไรล่ะครับ

อย่างแรกนั้น เนื่องจากเด็กสมัยนี้ต้องเรียนพร้อมๆ กันหลายภาษา แถมแต่ละหลักสูตรก็สร้างสรรกันพิศดารการตลาดขนาดนั้น ทำให้หลายๆ คนมี "พื้นฐาน" ที่ไม่แน่นพอ ครั้งหนึ่งพบว่า หลานของผมต้องไปเรียนพิเศษภาษาไทย เพราะไม่สามารถพูดและเขียนได้

เฮ้อ... ไม่น่าเชื่อ แต่เศร้า

ต่อมา ด้วย "ความไว" และ "ง่าย" ของโลกอินเตอร์เน็ต ทำให้เด็กสมัยนี้ ขาดการพินิจพิเคราะห์ถึงความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่เห็น บวกกับความขี้เกียจที่มาจากความ "มักง่าย" ทำให้เกิดศิลปินคอลลาจที่ขาดความคิดสร้างสรร (Collage - การตัดต่อ ตัดแปะภาพ) โดยการคัดลอกเนื้อหาจากเว็บต่างๆ มาแปะๆ แล้วจัดหน้ากระดาษเพื่อทำเป็นรายงานส่งอาจารย์ และเป็นอีกครั้งครับ ที่มีโอกาสไปตรวจข้อสอบนักศึกษา (ป.ตรี ปีสุดท้าย) ได้เห็นเรียงความที่ ย่อหน้้าบนเป็น "นาย" ย่อหน้าท้ายใช้ "ค่ะ" ไม่นับที่เนื้อหาตีกันเองอีกต่างหาก

เฮ้อ... ไม่น่าเชื่อ แต่เศร้า

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมพบว่า เรื่องสายสัมพันธ์ หรือ โซ่สังคม ยังมีอยู่ในบ้านเรา ไปที่ไหนๆ ก็ยังได้ยิน (จบจากไหน คณะอะไร อ้าวพี่กัน น้องกันนี่หว่า) ซึ่งยังเห็นไม่ชัดจากเหล่าโรงเรียนนานาชาติ ที่น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก

หรือเราเองคงไปห้ามไม่ให้เทคโนโลยีหยุดพัฒนาได้ แต่ต้องเข้าใจถึงผลด้าน "บวก" และ "ลบ" เพื่อหาทางป้องกัน หรือเสริมภูมิต้านทานให้ลูกหลาน ในด้านการคิดวิเคราะห์ ความอดทน และภาพมุมกว้าง

ไม่ให้โทษได้ว่า "ก็พ่อแม่รังแกฉันไง" แง แง

July 30, 2010

มองมุมเหม่ง > ไม่อั้น..ใครได้ ใครเสีย (Buffet !!)

เชิญครับ รับไม่อั้น
เท่าไรเท่ากันไม่หวั่นไหว
แล้วใครละที่เจ๊ง
********************
ในยุคสมัยที่การแข่งขันด้านการตลาดสูงอย่างนี้ โปรโมชันเรื่อง "บุฟเฟต์" หรือ จ่ายเงิน ณ จำนวนหนึ่งแล้วจะบริโภคได้ "ไม่จำกัดจำนวน" นั้น เริ่มมีความหลายหลายกระจายไปตามสินค้า / บริการต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิมที่มักเจาะจงแค่เรื่องของอาหารการกินเท่านั้น

ถามกันเล่นๆ ในวงคนทำงานด้านการตลาดที่ไม่อยากนับว่าเป็น "กูรู" ว่า ไอเดียอย่างนี้ นับว่าเด็ดเจ็ดสี เจ็ดศอก หรือไม่ ต่างก็ให้ความเห็นแปลกแยกกันไป

ว่ากันถึงแบบ "คลาสสิก" ก่อนก็ต้องเรื่องอาหารการกิน บุฟเฟต์ระบาดมาจาก ค่าอาหารในโรงแรมที่ราคาแพงจี๊ดๆ เลยต้องแก้เกมด้วยการให้ "เหมาจ่าย" โดยมีสมมติฐานที่ว่า ปริมาณกระเพาะคนเรามีความจุประมาณ 1-1.5 ลิตร บวกกับความน่าจะเป็นของจำนวนคนที่จะกินจุนั้น มีน้อยกว่าคนปกติ ทำให้โรงแรมคุ้มที่จะเสี่ยง แถมได้เรื่องของภาพลักษณ์และความรู้สึกของลูกค้าว่า "โห มันช่างคุ้มอะไรเช่นนี้ั"

จากโรงแรมก็ส่งไม้ต่อให้กับฟาร์ตฟู้ดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า อาหารญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ได้คิดก็คือ ทุกคนพยายามที่จะ"ตัก" มาเพื่อทานให้ได้มากที่สุด แถมคนส่วนใหญ่ มักประเิมินตัวเองเกินจริงทั้งนั้น สุดท้ายอาหารที่ตักมา ต้องเหลือแบบเละๆ ที่ต้องทิ้งหรือส่งเป็นอาหารหมูสถานเดียว ทำให้หลายที่ต้องคิดค่าปรับ กรณีกินไม่หมด ก็ได้ผลในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะพาลจะโดนลูกค้าด่าด้วย

จากเรื่องอาหารก็มาเห็นอีกทีในเรื่องโทรศัพท์มือถือ และอินเตอร์เน็ต ที่นักการตลาดประเภทสิ้นคิด แต่อ้างว่าลูกค้าคือ "บระเจ้า" (ไม่ได้พิมพ์ผิด แต่คนเหล่านี้มันไม่ใช่ พระเจ้า จริงๆ) ต้องการ ก็นำเสนอให้โทรกันได้ไม่อั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมาแม้แต่น้อย

เพราะโปรโมชันอย่างนี้ ทำให้บ่มนิสัยบระเจ้าเหล่านั้น ขาดความยั้งคิดในการสื่อสาร คุยกันในเรื่องไร้สาระ เสียเวลาทำมาหากิน เพราะคิดกันไปว่า "ก็ตูจ่ายไปแล้วนี้หว่า ต้องโทรให้ได้มากที่สุด" กลายเป็นสันดานที่มีประโยชน์น้อยกว่าสันดอนไป

ผลลบที่ตามมา อย่างแรกที่ต้องเจอคือ เรื่องของความหนาแน่นในชุมสายที่ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความต้องการ (Demand) เทียม ต้องลงทุนขยายชุมสายเพิ่ม เอาล่ะ แม้จะอ้างได้ว่าสร้างงาน สร้างคน แต่ขอโทษ!! ค่าใช้จ่ายการลงทุนเหล่านี้มันคุ้มไหม มีลูกค้าที่มีความจำเป็นกี่คนที่ไม่สามารถโทรออกได้ เพราะลูกค้าอีกบางคนที่แช่สายจองไว้ เพียงแค่อยากได้ยินเสียงกรนจากปลายสายอีกทางแค่นั้น!! แล้วระยะยาวอัตราการใช้งานจริงจะเป็นเช่นไร

หลังจากกระหน่ำแคมเปญกันจนสุดท้ายโดนด่า ฐานลูกค้าที่โตกันอย่างกลวงๆ ก็หดหาย เพราะทำได้ไม่สมความคาดหวังของเหล่า "บระเจ้า" ก็ถึงคราวของอินเตอร์เน็ต 555 ห้าร้อยเก้าสิบ ไม่อั้น (ขอบคุณเจ้าสัวใจดี) เพราะตอนออกมา คิดว่าคนไทยจะเป็นสังคมอุดมปัญญา เข้าเว็ป เช็คเมล์ อ่านข่าว เรื่องโหลด เรื่องบิต คงไม่รู้จัก ไร้เดียงสากันขนาดนั้น แถมทำให้ทุกรายต้องเสนอเหมือนกันทั้งหมด

ทุกวันนี้ ไปถามหลายๆ คน ว่าพยายามจะใช้เน็ตอย่างไรให้คุ้ม คำตอบยอดฮิตไม่พ้น โหลด ๆๆๆๆ

แน่นอนครับ สักกี่คนที่จะโหลดกันอย่างถูกกฏหมาย ส่งผลให้เจ้าของลิขสิทธ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนัง เป็นเพลง เป็นซอร์ฟแวร์ ต้องควักเิิงินมาร้องแรกแหกกระเฌอกันจนเสียงแหบ คนที่แฮปปี็ก็คนขายแผ่น CD DVD เปล่า และการไฟฟ้าที่รายได้ขึ้นกันถ้วนหน้า

ทั้งหลายทั้งปวง สำหรับตัวผู้บริโภคเอง ถ้ามองแค่ประโยชน์จาก "บุฟเฟต์" เหล่านั้นแล้ว การพยายามที่จะ "สวาปาม" ให้ได้มากที่สุดนั้น เหมือนจะเป็นเรื่องชาญฉลาด แต่ชาติไม่เจริญ เพราะถ้ามองในภาพกว้างแล้ว มี "รายจ่าย" อื่นๆ อีกมากมายที่ต้องเสียไป ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ที่อาจจะเป็นโรคกระเพาะคราก หรือท้องเสียได้ หรือ ค่าเสื่อมของอุปกรณ์ ค่าไฟ รวมถึงเวลาที่เอาไปใช้ทำอย่างอื่น อีกเยอะแยะ

ครับในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์แล้ว ประโยชน์ของโปรฯ เหล่านี้มันก็มีดี เช่น การทวีคูณของผู้ใช้งาน ระดับความรู้ที่เพิ่มขึ้น แต่ก็อยากให้นักการตลาด รวมถึงผู้บริโภคเหล่านั้นได้มองอย่างรอบคอบกว่านี้ เพราะสุดท้ายแล้ว จะไม่มีใึครได้อะไร "ไม่อั้น" อย่างที่คิดเลย

มองมุมเหม่ง > ลืม (Forget Me Not)

เพียงแค่วันเวียนผ่าน
เธอฉันล้วนแปลงเปลี่ยนกันไป
ใดใดไม่จีรัง
***************************

คุณคิดว่าคนเราลืมอะไรกันง่ายๆ ไหม?? มีเรื่องราวมากมายทั้งที่จริงและมาจากจินตนกรที่พูดถึงเรื่อง "ความจำ" และ "การลืม" วิทยาศาสตร์บอกว่า ในระดับจิตใต้สำนึกแล้ว คนเราไม่มีทางลืมประสบการณ์ที่เราได้รับ หรือสิ่งที่เราเป็น แต่เราเองต่างหากที่เลือกที่จะ "ลืม"

จากประสบการณ์ที่พบคนหลายๆ คนในชั่วระยะเวลาหนึ่งของชีวิต ไม่นานจนถือไม้เท้ายอดทอง แต่ก็ไม่สั้นแค่เพียงสวนกันตามป้ายรถเมล์ ผมพบว่าหลายๆ คน "ลืม" สิ่งที่เขาเคยเป็นมา ลืมสิ่งที่เขาเคยเจอ เคยเรียนรู้

บางคน ด้วยกุศลเกื้อหนุน และกรรมดีที่ทำมา ส่งผลให้ชีวิตก้าวหน้าในการงาน ด้วยรายได้ที่จะจับจ่ายได้ตามสบาย ทำให้ "ลืม" ความลำบากในอดีต เริ่มมองคนผ่านๆ ทางเปลือกนอกที่เห็น แทนที่จะใช้เวลาพินิจความคิดของคนอื่นๆ เพื่อเข้าใจและเรียนรู้ ให้คุณค่าคนอื่นๆ ผ่านนาฬิกาที่สวม ปากกาที่เหน็บไว้ รถยนต์ที่ขับมา เสื้อผ้าที่สวมใส่

บางคน ลืมความเหนื่อย ยากลำบากที่เคยประสบ งานที่มูลค่าน้อยๆ ก็เมินไป ต้องเป็นหลักล้านเท่านั้ันที่ฉันสนใจ

ยิ่งกว่านั้น บางคน "ลืม" ว่าตัวเองเคยเป็นลูกน้องมาก่อน วันนี้มีตำแหน่งขึ้นมา ต้องการอำนาจ คนคอยพินอบเอาใจ กลายเป็นคนหูตึง ต้องพูดเสียงดังขึ้นอย่างไม่มีคำอธิบาย คนที่เคยเกื้อหนุนกันมาก็กลายเป็นคนไร้ค่าน่ามองผ่าน มองหาหมอบกรานกราบแต่คนระดับสูงเพื่อดันตัวเองไปไม่สิ้นสุด

เรื่องราวเหล่านี้ผ่านมาให้เห็น แน่นอนกาลเวลาเปลี่ยน คนเราก็ย่อมเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน ทุกคนต่างล้วนมีเหตุผลในการ "ลืม" สิ่งที่ตัวเองเป็น มีเหตุผลมากมายกับสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป แม้กระทั่งตัวเราเองก็ตาม ก็อยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ บางครั้งก็ยังมีคำติติงมาว่า "คุณเปลี่ยนไปนะ"

ฟังแล้วคิดไหม ว่ามันหมายถึงคำชื่นชมอย่างชัดเจน หรือ แอบตำหนิอย่างสุภาพชน

July 8, 2010

มองมุมเหม่ง > คาร์ลอส กอส์น ... นายแน่มาก (Carlos Ghosn.. You Cool !!)


(ขอเขียนถึงความประทับใจผู้บริหาร ที่ฟันฝ่าอุปสรรคที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ให้ประสบความสำเร็จ และความประทับใจส่วนตัวกับนิสสัน เทียน่า ตัวใหม่ ด้วยครับ)


เดือนที่ผ่านมา คาร์ลอส กอส์น (Carlos Ghosn) CEO ของนิสสัน มอร์เตอร์
และ เรย์โนลต์ ผู้พลิกฟื้นดึงนิสสันขึ้นมาจากหายนะตั้งแต่ปี 1999 ด้วยเงินเดือนต่อปีประมาณ 313.6 ล้านบาท แวะเวียนมาเมืองไทย พร้อมกับได้บรรยายในหัวข้อ The Secret to a Successful Recovery ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจพร้อมๆ กับมุมมองส่วนตัว และความเป็นมาสั้นๆ ของผู้ชายวัย 56 ปี (เกิดปี 1954) คนนี้ครับ

กอส์น เริ่มการบรรยายว่า เราต้องเข้าใจที่มาที่ไปของวิกฤต หรือปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน ว่ามีสาเหตุจาก "ภายใน" หรือ "ภายนอก" วิกฤตภายในนั้น มาจากปัจจัยภายใน เป็นเรื่องของแต่ละบริษัทที่จะต้องแก้ไขกันไป เช่น การควบคุมต้นทุน ปัญหาด้านคุณภาพ ส่วนวิกฤตภายนอกนั้น ส่งผลกระทบกับทุกคนในสังคม ต้องรับชะตากรรมเดียวกัน ขึ้นกับว่าใครจะมีภูมิต้านทานมากน้อยเท่านั้น

ที่ต้องคิดกันล่วงหน้าคือ เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตแล้ว แผนการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เป็นอย่างไร ใครคือคนที่จะต้องตัดสินใจ คนๆ นั้น มีวุฒิภาวะน่าเชื่อถือ และวางใจได้หรือไม่ เหล่านี้ ต้องมีการประเมินกันล่วงหน้า เพราะลักษณะของคนที่แตกต่างกัน ในแต่
ละสถานการณ์ ส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ต่างกันไป

การเตรียมการดังกล่าว ทีมผู้บริหารต้องมองภาพอนาคตให้ออก เรียกกันเท่ๆ ว่ามีวิสัยทัศน์ (Vision) ทั้งระยะสั้น ระยะยาว เช่น ถามตัวเองว่า อีก 3 ปี 5 ปี สภาพแวดล้อมธุรกิจจะเป็นอย่างไร เราจะรับมืออย่างไร แล้วก็แปลภาพอนาคตที่มองเห็นเหล่านั้น เป็นแผนงานที่ทุกคนต้องร่วมมือกันอย่างเต็มที่

แผนการดังกล่าว ต้องบอกได้ว่า เรื่องอะไรคือเรื่องเร่งด่วน ซึ่งไม่ควรจะมีมากเกินไป ก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ และไม่ต้องคิดถึงแผนสำรอง เพราะพนักงานอาจจะไม่เต็มที่กับแผนแรก (มุมนี้มองต่างออกไป เพราะแผนสอง น่าจะใช้ในการเผื่อไว้ กรณีปัจจัยบางอย่างที่นอกเหนือจากการควบคุมเปลี่ยนไป)

มองมุมบวกที่คาร์ลอส มองโอกาสในวิกฤตก็คือ การเปลี่ยนแปลงองค์กร เพราะในยามปกติ คงไม่มีใครทำ และคงต้องเผชิญกับการต่อต้านจากคนข้างใน ซึ่งกรณีของนิสสันนั้น มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมร่วมอยู่ด้วย


การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะสำเร็จไหม ขึ้นกับวิธีการสื่อสาร และขั้นตอนการปฏิบัติที่ต้องง่าย ไม่ซับซ้อน และเห็นผลได้เร็ว

ย่อๆ จากการบรรยายดังกล่าว ไม่แปลกใจเลยใช่ไหมครับ ที่ผู้ชายเชื้อสายฝรั่งเศส-เลบานอน เกิดที่บราซิลคนนี้ จะเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก เขาทำงานอย่างหนักมาตลอด จากตำแหน่ง CEO ที่ Michelin North America ย้ายไปที่เรโนลต์จนเป็น President ในปี 2005 ระหว่างนั้นก็เข้าไปกู้วิกฤตที่นิสสันกับหนี้สินหกแสนกว่าล้านบาท

กล้าหาญที่จะเดิมพันด้วยตำแหน่งของตน ถ้าไม่สามารถทำให้นิสสันกลับมามีกำไรได้ ทั้งปลดคนงาน ขายสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางธุรกิจใหม่ๆ เขาทำให้นิสสันมีกำไรจาก 1.38% ในปี 2000 มาเป็น 9.25% ในปี 2006

การกอบกู้นิสสันของคาร์ลอสนั้น ให้ความสำคัญกับลูกค้า ตั้งแต่การออกแบบ คุณภาพ และความคุ้มค่า การเจาะตลาดใหม่ๆ ที่นิสสันยังไม่เคยเข้าไป รวมถึงการควบคุมต้นทุนและพัฒนาพนักงาน

ล่าสุด ทางผู้บริหารข
อง General Motors เองก็สนใจที่จะให้ทางนิสสันเข้ามาถือหุ้น เพื่อกอบกู้วิกฤตการณ์เช่นกัน ทั้้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น GM เองก็เป็นรายหนึ่งที่จะมาเทกโอเวอร์นิสสันเช่นกัน

เรื่องราวต่างๆ ของเขาได้สร้างความประทับใจจนมีการเอาไปเขียนเป็นการ์ตูนขายดิบขายดี และเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายคนทั่วโลก

ก็ต้องดูกันต่อไปว่า หลังจากความสำเร็จของ นิสสัน มาร์ช แล้ว หมากเด็ดต่อไปภายใต้บังเหียนของคาร์ลอส กอส์น จะออกมาเขย่าขวัญพี่ใหญ่ทั้งสองอย่างไร

June 15, 2010

มองมุมเหม่ง > เจาะเวลาหาอนาคต (Time Machine)

ก่อนที่จะไร้ค่า
ขอมอบปัญญาค่าสุดท้าย
จารึกไว้ตราบนาน
*************************

หลังจากการวางแผนที่จะย้ายที่อยู่เป็นการถาวร งานหนึ่งที่ต้องรีบทำ และผมต้องทำเอง คือการย้ายและจัดการ "หนังสือ" จำนวนมากที่เก็บสะสมไว้ ถ้าหากใครที่เป็นคนเชื้อชาติ "หนอน" อย่างผม ย่อมเข้าใจได้ว่าหนังสือต่างๆ ที่เก็บสะสมมานั้นมีค่าทั้งต่อกระเป๋าและต่อจิตใจมากแค่ไหน

ถ้าจะคิดกันอย่างหัวการค้า หนังสือเก่าๆ อย่างนี้ ก็จะมีคนกลุ่มนึงที่สนใจที่จะรับช่วงกันต่อ หรือจะขายผ่านร้านหนังสือเก่า ซึ่งราคาที่รับซื้อก็อาจจะไม่คุ้มกับค่ารถที่แบกไป แต่อย่าถามถึงราคาที่เขาจะขายต่อนะครับ จะเศร้าใจไปเปล่าๆ

ส่วนใหญ่หนังสือที่เข้ารอบโดนโล๊ะ มักจะเป็นพวกนิตยสารเก่าๆ หรือไม่ก็หนังสือวิชาการที่พ้นสมัยไปแล้ว
เมื่อตัดสินใจที่จะทิ้ง (ให้แม่บ้านเอาไปชั่งกิโลขาย) ผมมักจะหยิบหนังสือเหล่านี้มาพลิกๆ เพื่อที่จะร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่จะชวนคุยกันวันนี้

หลังจากพลิกไปเรื่อยๆ ผมพบว่า หนังสือเหล่านี้ได้พาผมย้อนอดีตกลับไปยังช่วงหนึ่งของยุคสมัย ได้กระตุ้นให้คิดถึงช่วงชีวิตของเรา ณ จุดเวลานั้น กิจกรรมที่ได้ทำ คนที่อยู่ข้างเขียงและข้างเคียง

ได้เห็นแฟชั่น ขาเดฟ เสื้อสีสด ปกตั้ง ในรุ่นพ่อ ก่อนที่จะ "เรโทร" กลับมาในปัจจุบัน หรือใกล้กว่านั้น ผมทรงฟาร่า ฟูๆ กางเกงขาพองทรงบักกี้ และเสื้อผ้าแบรนด์ไทยชื่อฝรั่งๆ ที่ต้องใส่ทับเสื้อยืดข้างใน

ถ้าเกี่ยวกับบ้านและตกแต่ง ก็เห็นสไตล์การแต่งแบบหลุยส์ อลังการงานสร้าง เสาโรมัน ลายประตูอัลลอยอันซับซ้อน

หรือจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับไอที เทคโนโลยี อ่านไปก็ขำไปกับการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต หลายเล่มยังไ่ม่มีใครพูดถึง "คลาวด์" หรือ "โซเชียลเน็ตเวิร์ค" แค่คำว่าอินเตอร์เน็ตก็เป็นอะไรที่ยากที่จะอธิบายแล้ว ยังไม่รวมถึง เนื้อหาเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆ มือถือ ที่ไม่น่าเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นอยู่ในปัจจุบัน

แม้ว่า หนังสือเหล่านี้กำลังจะโดนเปลี่ยนสภาพไปเป็นอย่างอื่นในไม่ช้า แต่อย่างน้อย มันก็ได้ทำหน้าที่ส่งผ่านความรู้ให้เราเป็นครั้งสุดท้าย แม้มิใช่โดยเนื้อหา แต่หนังสือเหล่านี้ก็กลายเป็นเอกสาร "ประวัติศาสตร์" เพื่อให้เราได้ทบทวนอดีต เข้าใจที่มาที่ไป และได้คิดเตรียมตัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่งดงาม

ขอคารวะให้กับทุกความตั้งใจในการสร้างสรรหนังสือครับ


May 21, 2010

เรียนจากหนัง > The Devil's Game (Korea 2008) เกมท้าเย้ยมัจจุราช


บ้านเมืองไม่ค่อยปกติ เปิดทีวีก็เจอแต่ข่าวรายงานความเสียหาย ไม่รู้ว่าทำไมไม่ไปรายงานเรื่องอื่นบ้าง เช่น พวกแกนนำที่เหลือมันหายหัวไปไหน ดูแล้วก็หดหู่ เลยไปค้นๆ หนังที่ซื้อมานานแล้วมาดูแก้เซ็งดีกว่า

หน้าปกที่ดูแล้วคงไม่เครียดไปกว่านี้ พร้อมๆ กับเรื่องไม่ย่อของ มินฮีดู ได้รับข้อเสนอจากมหาเศรษฐี คังโนซิก ที่ตัวจริงซิก (sick) ใกล้ตายแล้ว ข้อเสนอที่น่าสนใจคือ การเดิมพันว่า หมายเลขโทรศัพท์ที่จะโทรไปนั้น คนรับเป็นหญิงหรือชาย ถ้ามินฮีดู ทายถูกก็จะได้เงิน 3,000 ล้านวอน (เท่าไรหว่า) เป็นรางวัล แต่ถ้าเขาทายผิด เขาต้องให้ร่างกายแก่ชายชราแทน

เป็นไปตามฟอร์มพระเอกที่ตอนแรกไม่ยอม แต่พอกลับไปบ้านพบว่าแม่ของแฟนสาว โดนแกงค์ทวงหนี้ตามข่มขู่ แถมเขาก็โดนกระทืบเป็นค่าดอกเบี้ยเสียอีก ด้วยอารมณ์หุนหัน เขาเลือกที่จะเดิมพันเพื่อให้ได้เงินมาช่วยแฟนสาวได้เร็วที่สุด

หนังสอดแทรกความเขี้ยว ความเก๋าของคนที่ผ่านอะไรมาเยอะอย่างโนซิกให้เราได้เห็น เช่นระหว่างที่เดิมพันกับฮีดูนั้น เขาได้ถือโอกาสตรวจสอบความซื่อสัตย์ของภรรยา ลีฮีริน ไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่งก็ได้พิสูจน์หลักการของ ผัวแก่เมียสาว ได้ว่า ระดับความรัก มันน้อยกว่า เลขศูนย์หน้าจุดทศนิยมในบัญชียิ่งนัก โชคยังดีที่โนซิกยังพบว่าบอดี้การ์ดของเขา มร. อัน ยังภักดีกับเขาอยู่

กลับมาผลของการพนัน ทีแรกที่ฮีดูคิดว่า ปลายสายที่รับนั้นเป็นผู้หญิง แต่เมื่อเขาโทรอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่า เจ้าหล่อนเป็น "กระเทย" ทำให้เขาต้องพ่ายให้กับโนซิกทันที ซึ่งเป็นมุข "ครึ่งควบลูก" ที่ฮาลึกๆ

ผู้กำกับเลือกที่จะให้เราเชื่อถึงเทคโนโลยีการผ่าตัด ที่ไม่ใช่แค่ย้ายสมองเท่านั้น ยังมีส่วนอื่นๆ ที่ต้องเปลี่ยนกันด้วย ดูแล้วก็มีความเป็นไปได้ในอนาคตให้เราได้สยองเล่นๆ และทำใจยอมรับได้

หลังจากนั้นเรื่องราวก็เล่าถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปทั้งสองคน การหักเหลี่ยมเฉือนคม แก้เกมให้เป็นฝ่ายได้เปรียบ จนต้องสูญเสียไปมากกว่าที่คิด ซึ่งจะเห็นว่าหนังเรื่องนี้ เอาประเด็นผลลัพธ์ของ "การพนัน" มาแสดงแฝงข้อคิดผ่านตัวละครด้วย เช่น เรื่องใหญ่ๆ ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ, ผลลัพธ์ของการพนันที่ไม่เคยทำให้ใครรวย จุดสุดท้ายของความโลภคือความสูญเสีย และถ้าคุณคิดว่าคุณเจ๋ง คนอื่นก็อาจจะเจ๋งกว่าคุณได้เช่นกัน

มีตัวละครไม่กี่ตัวที่แสดงให้เราเห็นถึงความพอ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทของ โนซิก ที่เมื่อรู้ว่าเขาชนะพนันด้วยวิธีการที่น่ารังเกียจแล้ว ถึงกับเลิกคบไปเลย หรือ มร.อัน ที่มีแต่ความซื่อสัตย์ต่อนาย ไม่พยายามที่จะเข้าไปวุ่นวายเกินหน้าที่ตน

ตอนจบจะเป็นยังไง ก็ไปติดตามอุดหนุนกันได้ครับ ยังเป็นเรื่องของการเดิมพันเหมือนเดิม แต่ตามแนวหนังเกาหลี ก็มีหักมุมกันเอวบิดให้เดากันไม่ถูกเช่นกัน

พูดถึงแนวหนังเกาหลีแล้ว ต้องยอมรับว่า เขามีการส่งเสริมพัฒนามาก ทั้งเรื่องบทที่เข้มข้น และการแสดง รวมถึงโปรดักชัน ที่ทำให้เรามองข้ามหน้าตาขาดๆ เกินๆ ไม่ลงตัวของดาราชาย หรือ พิมพ์นิยมเดียวกันของดาราสาวๆ ไปได้ กอปรกับการพากย์ไทยของทีม "พันธมิตร" ที่ไม่ได้ใส่เสื้อสีเหลือง ก็ทำให้ต้องติดตามกันต่อไป

May 20, 2010

มองมุมเหม่ง > จบไม่สวย (Died at the End)

อ้างชาติประชาชน
ชุมนุมคนซับซ้อนซ่อนกล
สุดท้ายตายแบบโจร
*********************************

วันนี้เป็นวันที่ 2 หลังจากเหตุการณ์ "พฤษภา (มหา) ทมิฬ" เพิ่งผ่านพ้นไป ประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาลยังมีผลอยู่ การเก็บกวาดประเทศก็กำลังดำเนินต่อไป พร้อมๆ กับกลุ่มเสื้อแดงที่แฝงลงดินไป โดยไม่มีใครรู้ว่าจะกลับมาอีกไหม เหลืออยู่แต่ความเสียหายมหาศาลของฝ่ายที่ไม่เกี่ยวข้อง

จริงๆ แล้วผมเองพยายามที่จะเลี่ยงไม่พูดถึง "การเมือง" ใน MEngMORY เท่าไรนัก ทัศนคติทางการเมือง ก็เหมือนกับรสนิยมในเรื่องการกิน หรือเรื่องเพศ ขึ้นกับความรู้ภูมิหลัง ข้อมูล ข้อเท็จจริงที่รู้ ของแต่ละคน ที่บังคับกันไม่ได้

แต่เหตุการณ์ในวันที่ 18-19 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของพวก นปช. ที่พยายามจะอ้างความถูกต้อง อ้างประชาธิปไตย ต่างๆ นานา เพียงเพราะเมื่อแกนนำประเมินแล้วว่า "ถอยดีกว่า" แต่ไม่สามารถจะชี้แจงให้ผู้ร่วมชุมนุมเข้าใจได้ ทั้งๆ ที่ ผ่านมา พวกแกนนำเองก็เป็นคนป้อนข้อมูลต่างๆ ให้เขาเหล่านี้ตลอด สั่งซ้าย สั่งขวา ตบมือได้ แต่ไม่สามารถให้พวกเขากลับบ้านไปอย่างปลอดภัยได้ แถมก่อให้เกิดปัญหาที่ลามปามเกินควบคุม

ต้องยอมรับว่าผู้ชุมนุมนั้น "ฉลาด" พอที่จะพลิกความเสียเปรียบมาเป็นความได้เปรียบ โดยพวกเขารู้ว่า ทหาร หรือรัฐบาลนั้น จะไม่ทำร้ายพวกเขา จะเป็นด้วยกฏหมาย หรือ ภาพลักษณ์ก็ตามแต่ ทำให้พวกเขากล้าที่จะทำความเสียหายให้กับบ้านเมืองให้กับประเทศอย่างที่เห็นกันอยู่

ผมเชื่อว่ามีไม่น้อยที่อยากจะให้ "จัดการ" ให้เด็ดขาดบ้าง เหมือนอย่างที่เห็นในหนังหลายๆ เรื่อง แต่ต้องนับถือ และชื่นชมฝ่ายรัฐ (ส่วนใหญ่) ที่จะพยายามไม่ใช้กำลังในการแก้ปัญหา
จะขัดใจหน่อยก็เรื่องประสิทธิภาพของฝ่ายรัฐในการวางแผนป้องกัน แก้ไขปัญหาว่า "ห่วย" และขาดการประสานงานแค่ไหน ตัวอย่างจากต่างประเทศก็มีถมไป

ท้ายที่สุดแล้ว การใช้กำลัง แม้ว่าจะสะใจ แต่ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาหรอกครับ

ถ้าเราคิดกันใหม่ว่า เราจะใช้วิธีการเจรจาเพื่อหาทางออก โดยฝ่ายที่มีสติและเยือกเย็นกว่าฝ่ายตรงข้าม จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ "ชนะ" กว่า อย่างนี้จะดีกว่าไหม มันจะเป็นการเจรจากันแบบคนที่มีวุฒิภาวะ และใช้เหตุผลในการหักล้างกัน

อีกเรื่องที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ระดับการศึกษาของประชาชน ยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการแยกแยะข้อมูลที่ "จริง" หรือ "เท็จ" ให้พวกเขาไม่เป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดีได้ เพราะสุดท้ายคนที่เจ็บที่ตาย ก็เป็นคนชั้นล่างอยู่ดี

แต่ละฝ่าย ไม่ว่าจะเหลืองหรือแดง ต่างก็มีทั้งดี และไม่ดี ผมไม่ได้เหมารวมว่า แดงจะเลว หรือเหลืองจะเทพทั้งหมด ประเด็นบางอย่างที่แดงเสนอมา ผมว่าก็มีเหตุผลที่น่าจะรับฟัง หรือการที่เหลืองยึดสนามบิน ผมว่ามันก็แย่ไม่ต่างกับแดงเผาเมืองเหมือนกัน

น่าเสียดายจริงๆ ที่วันนี้ ข้อเสนอต่างๆ ของฝ่าย นปช. แทนที่จะได้รับการพิจารณาเพื่อให้ประเทศไทยได้เดินหน้าต่อไปนั้น กลับสลายไปเพราะอารมณ์แบบเด็กๆ ที่ผิดหวังในตัวแกนนำของคนไร้การศึกษาไม่กี่คน

ตอนนี้ ที่น่าสงสารที่สุดคือ "ประเทศไทย" ครับ ผมหวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ในชีวิตที่จะได้เห็นมันอีก หลังจากที่ผมคิดว่า พฤษภาทมิฬในปี 2535 นั้นเลวร้ายอย่างยิ่งแล้ว

ขอบคุณ "คนไทย" ทุกคนที่ช่วยกันครับ


April 23, 2010

มองมุมเหม่ง > ส้มตำเสี่ยงตาย ราคาของชีวิต (How much of your life?)

รถวิ่งปานลมพัด
คนเดินตัดฉวัดเฉวียน
รอดตายก็ได้กิน
**********************************
เร็วๆ นี้เอง มีรายการทีวีที่ได้รับความนิยมพอสมควร แนะนำร้านอาหารอีสานแห่งหนึ่ง ตรงถนนวัฒนธรรม ตรงข้าม อสมท. ครับ ร้านนี้เป็นร้านส้มตำข้างทางธรรมดา แต่ลูกค้าเรียกชื่อ (เล่นๆ) ว่า "ส้มตำเสี่ยงตาย"

เป็นเพราะตำแหน่งของร้านนี้ อยู่ริมถนนวัฒนธรรมฝั่งตรงข้าม อสมท. ที่มีการเดินรถแบบวันเวย์ มุ่งหน้ามาจากแยกผังเมือง มาบรรจบกับรถที่เลี้ยวมาจากแยกเหม่งจ๋าย ก่อนที่จะตรงไปศูนย์วัฒนธรรม หรือ จะออกไปเส้นรัชดาภิเษก ก็แล้วแต่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า รถทุกคันจะทำความเร็วตั้งแต่เลี้ยวผ่านแยกมา เพราะเป็นถนนตรงยาว

ประเด็นคือ รายการได้เน้นย้ำถึง "ความตื่นเต้น" ของเหล่าลูกค้าที่ต้องข้ามถนนมาเพื่อกินอาหารร้านนี้ครับ

ลูกค้าทุกคนรู้สึกสนุกสนาน เมื่อต้องเสี่ยงข้ามถนนเส้นนี้ ที่มีประมาณ 4 เลน พร้อมกับรสชาดที่อร่อยกับราคาไม่แพงนัก จบรายการแล้วก็มีหลายคนที่อยากจะไปลองกิน รวมถึงตัวผมเองด้วย

แต่อีกมุมหนึ่ง มีใครคิดถึงความเสี่ยงของอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นบ้างไหม หรือ คิดถึงคนที่เขาขับรถมาบ้างไหม

ถ้าขับๆ มาแล้ว ต้องเบรกกระทันหัน เพราะมีคนข้ามถนนตัดหน้า ถ้าไม่ชนคน ก็โดนรถคันหลังสอยซะ

เพื่ออะไรกันเนี่ย แค่คนที่ข้ามต้องการกิน "ส้มตำ" เท่านั้น

ท่าจะเป็นส้มตำที่ราคาแพงที่สุดในโลกกระมัง ถ้าต้องแลกด้วยชีวิต และทรัพย์สินที่เสียหาย

มิไย ที่ราชการพยายามจะประชาสัมพันธ์ให้ "คนขับ" มีวินัย แต่หารู้ไม่ บางทีเราจำเป็นที่ต้องให้ความรู้กับ "คนที่ใช้ถนน" ทุกคนนะครับ

หวังว่าทุกท่านที่อยากลิ้มลองของอร่อย คงไม่ต้องคกเป็นผู้โชคร้าย หรือเป็นต้นเหตุให้คนอื่นๆ ต้องซวยเพราะความอยากราคาไม่กี่สิบของคุณเลยนะครับ

April 18, 2010

มองมุมเหม่ง > กีฬาสี มีข้อคิด (Human Color)


ท่ามกลางความสับสน และวุ่นวายในทุกวันนี้ ทำให้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ในเทศกาลสงกรานต์เหือดหายและเศร้าใจ เพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเหมือนกับปีที่แล้วที่ผ่านมา
นอกเหนือจากเสียงลำโพงการปราศรัย และเสียงปืน รวมถึงระเบิดที่ดังกระหึ่ม ยังมีการโจมตีกันด้วยข้อมูลข่าวสาร นอกเหนือจากสื่อหลักทั้งทีวี วิทยุ แล้ว อินเตอร์เน็ตก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ผู้คนจะรับข่าวสาร รวมถึงการแสดงออกทางความคิด ทั้งแบบเปิดเผย หรือแบบตัวตนสมมติได้อย่างเต็มที่

ทำให้เห็นได้ชัดว่า เมื่อเทียบกับยุคพฤษภาทมิฬ เมื่อปี 2535 ที่เราแค่ "เห็น" ได้อย่างที่เขา "อยาก" ให้เราเห็นแล้ว โลกเราช่างวัฒนาไปไกลยิ่งนัก ในยุคต่อไป การซ่อนเร้น ความจริงบางอย่างจะยากยิ่งกว่าเดิม วัฏจักรของกรรมจะสั้นลง ไม่ใช่ต้องรอถึงชาติหน้าที่ไม่รู้ว่าจะมีไหม แต่หลายๆ ตัวอย่างก็ทำให้เรารู้ว่า "วงจรของกฏแห่งกรรม" ก็มีการปรับตัวตามเทคโนโลยีเช่นกัน

ระหว่างทางการสนทนากับผู้คนหลากหลายวงการ หลายชนชั้น ผมได้รับคำถาม และรายละเอียดของแต่ละฝ่าย แต่ละสีที่เล่นกันอยู่ ผมตอบคำถามพวกเขาตรงๆ ว่าจุดยืนของผมไม่ใช่ทั้ง "แดง" หรือ "เหลือง" แต่เราอยู่กับความถูกต้อง และสิ่งที่มันควรจะเป็น

ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้กฏหมู่เพื่อยึดสนามบิน หรือ การปิดถนนย่านธุรกิจที่สำคัญ แม้กระทั่งการอ้างสถาบัน หรืออะไรบางอย่างเพื่อบังหน้าความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง

ผมเชื่ออยู่เสมอว่า โลกนี้ไม่มีใครโง่กว่าใคร เพียงแต่เขารู้ข้อมูลน้อยกว่าเราต่างหาก "การศึกษา" เป็นทางหนึ่งที่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ อย่าง (น้อย) ก็เท่าเทียมกัน ถึงตอนนั้นแล้ว ใครจะเลือกตัดสินใจอย่างไร ตามกฏกติกาที่ตกลงกันไว้ของส่วนรวมก็ต้องยอมรับกัน

อันนี้ใช่ที่เขาเรียกกันว่า ประชาธิปไตย หรือเปล่า

อีกประเด็นที่ผมได้ยินจากฝ่ายสนับสนุนคนดูไบว่า ถึงข้อเท็จจริงจะปรากฏแล้วว่าในยุคสมัยของเขานั้น มีการคอร์รับชั่น ทั้งจากทางปกติและเชิงนโยบาย แต่เงินส่วนหนึ่ง ก็ได้เผื่อแผ่มายังพี่น้องประชาชนผู้ยากไร้ด้วย เมื่อเทียบกับยุคอื่นๆ ที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีการคอร์รับชั่นไม่แพ้กัน แต่พวกเขาไม่ได้แม้แต่กลิ่นของเศษเนื้อข้างเขียงเลย อย่างน้อย "กินแล้วแบ่ง" มันก็ดีกว่า "กินรวบ" ละกัน

ผมไม่แปลกใจกับตรรกะความคิดแบบนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่ว่า เขา "กินแล้วแบ่ง" ให้พวกเรา แล้วเขาเป็นคนดี

ประเด็นคือ เขา "กิน" ต่างหาก แค่คิดจะ "โกงกิน" มันก็ผิดแล้ว เหมือนโรบินฮูดนั่นแหละครับ ปล้น ก็คือ ปล้น จะปล้นคนดี ปล้นคนรวย ปล้นโจร ก็ผิดเหมือนกัน กฏหมายไม่มีข้อยกเว้น

ลองคิดดูว่า ถ้ากฏกติกาทุกอย่างมีข้อยกเว้นตลอด บ้านเมืองมันจะเดินต่อกันอย่างไร

แถม "กินแล้วแบ่ง" นี้ มองให้ดี มันกินเยอะกว่ากินรวบอีก เพราะต้อง "กินเผื่อ" ไว้ด้วย ผลเสียตกที่ประเทศชาติ แต่ในประเทศนี้ คนที่อยู่ คนที่เสียภาษีคือพวกเราไม่ใช่เหรอ

อีกอย่างที่ผมสนับสนุนและคิดว่า ควรจะได้รับการปรับปรุงก็คือ "ระบบการตรวจสอบ ที่ยุติธรรมต่อทุกฝ่าย" ผมเห็นฝ่ายสีแดงมีการพูดถึงประเด็นนี้เหมือนกัน แต่ไม่ได้ยินว่าเขาเน้นย้ำถึงจุดนี้กันหรือไม่

ต้องอย่าลืมว่า ระบบการตรวจสอบที่ดีและเข้มแข็ง ทั้งจากภาครัฐ (อัยการ ศาล) และภาคเอกชน (หนังสือพิมพ์ ทีวี) ทำให้สามารถเปิดโปงการทุจริตต่างๆ ได้หลายกรณี ซึ่งเราจำเป็นต้องพัฒนาให้มีมาตรฐานเหมือนต่างประเทศ ตรวจสอบได้ทุกระดับชั้น ไม่ว่าอำมาตย์ หรือไพร่อย่างพวกเราก็ตาม

ถึงวันนั้นแล้ว ผมเชื่อว่า พี่น้องคนไทยด้วยกัน คงจะมีความสุขในวันสงกรานต์กันมากกว่าที่เป็นอยู่ครับ

April 12, 2010

มองมุมเหม่ง > วัน 1 ของผม (Another Working Day)

ผู้คนล้วนหลายหลาย
ต่างก่อปัญหามามากมาย
คลายได้ด้วยปัญญา
***********************************
(เรื่องแต่งจากเหตุการณ์จริง)

วัน 1 ของสัปดาห์ที่แล้ว ที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีเรื่องราวหลายอย่าง เหมือนจะไม่เกี่ยวข้อง แต่มองลึกๆ ลงไป มันมีสายสัมพันธ์ของเหตุการณ์เหล่านั้นโยงกันอยู่ โดยมีผมเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวเหล่านั้น อืม ฟังดูเหมือนพล็อตจากฮอลลีวูดเลยนะ

***********************************
เริ่มจากตอนเช้า ได้คุยกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง หลังจากที่พักหลังๆ จะห่างๆ กันไป แม้ว่าเนื้องานจะไม่เกี่ยวข้องกันทางตรง แต่ทางอ้อมผมเองต้องพึ่งพาเธออยู่หลายส่วน หลังจากเรื่องงานจบ เธอถามถึงอนาคตผมในที่ทำงาน น่าเสียดายที่คำตอบผมอาจจะทำให้เธอประหลาดใจ
"... คุณไม่ได้สนใจกับตำแหน่งที่เจ้านายคาดหวังไว้กับคุณแล้วหรือ..."

" เปล่า ผมเพียงแต่หยุดคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเท่านั้น ไม่อยากละเมอเพ้อฝัน อาจจะจริงที่ตำแหน่งใหม่นี้ มีอำนาจความรับผิดชอบมากขึ้น ไม่ต้องพูดถึงผลตอบแทนที่ดีกว่าที่ผมอยู่ปัจจุบัน แต่ได้อย่าง มันก็เสียอย่าง ตามที่พี่ป้อมว่าไว้ ผมต้องมองให้ออกว่า สิ่งที่ผมจะต้องเสียไปคืออะไร และผมจะทำงานในตำแหน่งใหม่ให้ราบรื่นอย่างไรบ้าง"

"พูดเหมือนคุณกำลังลังเล"

"อาจจะจริง เพราะทุกวันนี้ผมเองก็พอใจในจุดที่ผมมีและผมเป็นอยู่ ได้ดูแลคนจำนวนเท่านี้ มีโอกาสไปพบลูกค้า ปิดการขาย แต่ผมยังมองไม่ออกถึงความน่าสนใจในตำแหน่งใหม่ตรงนั้น และถ้าผมจะทำ คุณก็รู้ ว่าผมต้องทำเต็มที่ แล้วปัจจัยอื่นๆ ละ ครอบครัว หรือ ชีวิตด้านอื่นๆ ที่ผมมี จะให้ผมละทิ้งพวกเขา เพื่อทุ่มเทให้กับบริษัทอย่างเดียวเหรอ"

"ก็ถูก แต่วันนี้ใครๆ ก็มองว่าคุณเหมาะสม เพียงแค่คุณปรับตัวเองอีกหน่อยเท่านั้น ชั้นอยากให้คุณลองสวมหมวกของแผนกอื่นๆ ดูบ้าง มีน้ำโหให้น้อยลง และมองว่าทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้น"

"อืม ผมเคยคิดเรื่องนี้เหมือนที่คุณเคยพูดมาครั้งนึงแล้ว ผมเข้าใจนะว่าแต่ละแผนกต้องพบกับปัญหาและข้อจำกัดอะไรบ้าง รวมไปถึงสิ่งที่พวกเขาต้องทำให้ได้ด้วย แต่ที่ผมข้องใจคือ ในตำแหน่งต่างๆ เหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวหน้าแผนก เขาไม่รู้เลยเหรอ ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง"

"ทำไมจะไม่รู้ ก็ใน Job description ก็บอกไว้"

"ใช่ แต่นอกเหนือจากงานที่ต้องรับผิดชอบแล้ว คนอื่นๆ เขาคาดหวังถึงการตัดสินใจ ในการแก้ปัญหา ถ้าไม่คิดที่จะแก้ปัญหาที่มีเหตุมาจากงานของตัวเอง มัวแต่โยนไปโน่นไปนี่ งานของคนอื่นๆ เขาก็เดินกันต่อไม่ได้ อย่างนี้เราจะไม่ให้ผมโมโหได้ยังไง"

"หรือมัวแต่อ้างว่า งานยุ่ง ได้มอบหมายงานไปแล้ว ให้ไปตามที่โน่นที่นี่แทน ถามหน่อยว่า เขารู้ไหมว่าคนที่มอบหมายงานให้ไป มีศักยภาพพอหรือเปล่า กลายเป็นว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปอีก"

"ผมถึงบอกไง ว่าขอผมคิดดูก่อน เพราะสิ่งที่ต้องแก้ไขมันมากเหลือเกิน ขณะที่บริษัทต้องเดินหน้าต่อไป ผมใช้เวลาในการพูดคุยกับตัวเอง ทำใจตัวเองให้นิ่ง เลิกอารมณ์ร้อน เพราะไม่งั้น นอกจากผมจะเละเองแล้ว คนที่อยู่ข้างหลังอีกหลายชีวิตเขาก็จะเดือดร้อนไปด้วย และถ้าผมไม่นิ่ง ผมจะไปทำให้บริษัทนิ่งได้อย่างไร มันก็คงปั่นป่วนกันไม่จบซะที"

"โอเคค่ะ ฟังแล้วค่อยสบายใจหน่อย ถ้ามีอะไรจะให้ช่วยก็บอกนะคะ" เธอจบการสนทนาด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิม

***********************************
เย็นวันนั้น เสียงโทรศัพท์จากทีมงานคนหนึ่งดังขึ้น
"พี่ คุยได้เปล่า" ตรงๆ ไม่อ้อมค้อมคือลักษณะเด่นของน้องคนนี้

"ได้เลย ว่ามาท่าน" โทรมาเย็นๆ อย่างนี้ คงเป็นเรื่องบันเทิงเริงรมย์ตามปกติ แต่แปลกที่เสียงดูเครียดๆ

"เมื่อกี้เพิ่งโทรคุยกับทีม Support นะ ผมตามงานของผม แต่เห็นว่าวันนี้ออกไปประชุมเรื่องงาน xxx ของพี่ YY น่ะ งานผมเลยไม่ได้ทำ แถมเขาบอกว่า พี่ YY เองก็ไม่ได้ไปหาลูกค้ารายนี้ด้วย พี่รู้เรื่องหรือเปล่า"

"อืม แล้วเราได้ยินมาว่าไงล่ะ"

"ก็ตา YY ไม่ไปด้วย แต่ส่งให้ฝ่าย Support ไปแทน พอลูกค้าถามคำถาม ก็ตอบไม่ได้ อย่างนี้ผมว่าไม่โอเคว่ะพี่ เห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า"

"นี่เราโมโหเหรอ" ผมถามไป ถ้ามองเห็นหน้ากัน คงเห็นรอยยิ้มบางๆ ด้านล่างของใบหน้า

"เออดิ เป็นพี่ไม่โมโหเหรอ เราเป็นฝ่ายขายแท้ๆ ทำไมไม่สนใจลูกค้าเลย แถมให้ฝ่าย support ไปรับหน้าแทนอีก"

"เออ ใจเย็นๆ ก่อน เรื่องนี้พี่รู้ทั้งหมดแหละ อย่างแรกนะ ประชุมคราวนี้ลูกค้าให้ไปอธิบายเรื่องเทคนิคที่เรานำเสนอ เรื่องราคายังไม่พูดถึง สอง วันนี้พี่ YY เขาต้องทำ proposal เสนอราคาให้ลูกค้ารายใหญ่อีกราย ซึ่งกำหนดส่งเป็นเมื่อวานนี้ แต่ทางทีม support ทำไม่ทัน สาม พี่ได้ย้ำและให้โทรไปคุยกับลูกค้าแล้วว่า มีประเด็นอะไรสำคัญที่ฝ่ายขายต้องเข้าไปด้วยไหม รวมถึงย้ำไปด้วยว่า ให้ทาง support ตอบเฉพาะคำถามด้านเทคนิค แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ เขาก็ต้องรับผิดชอบไป"

"ท่าทางจะเย็นแล้วนะ ขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม"

"ครับ พี่"

"อย่างแรกเลย พี่ไม่ว่าที่เราจะโมโหกับเรื่องแบบนี้ แต่ก่อนที่จะโมโหนั้น อยากได้เก็บรายละเอียด หรือ รู้เรื่องราวทั้งหมดก่อน ไม่งั้นแล้วจะเสียหายและเสียฟอร์มได้"

"ต่อมา เรื่องนี้ว่าไปแล้ว ไม่เกี่ยวกับเราเลย เราไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดอย่างนั้น แค่บอกพี่เฉยๆ หรือ ถ้าสงสัยในรูปแบบการบริหารงานของพี่ก็ถามมาได้"

"สุดท้าย พี่คงต้องคุยกับทาง support ด้วยว่า ถึงเขาหงุดหงิด หรือไม่พอใจยังไง ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะส่งให้คนอื่นๆ อีก มันก็เลวร้ายพอๆ กับควันบุหรี่มือสองนั่นแหละ แถมความหงุดหงิดเหล่านี้ ก็ทำให้ทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายเราย่ำแย่ไปด้วย"

"พี่เข้าใจนะ เราไม่ค่อยพอใจวิธีการทำงานแบบ YY นี้ แต่วิธีที่จะประสบความสำเร็จ มันก็มีหลายล้านวิธี ขึ้นกับทางใครก็ทางมัน ในภาพของบริษัท พี่ไม่เกี่ยงว่าแมวดำหรือแมวขาว แต่อย่างหนึ่งที่บอกได้ก็คือ บางคนอาจจะประสบความสำเร็จโดยมีเพื่อนฝูงห้อมล้อมยินดี แต่บางคน อาจจะชนแก้วอย่างเหงาๆ คนเดียวก็ได้"

"ครับ ถ้าพี่อธิบายอย่างนี้ ผมก็ไม่ติดใจอะไรแล้ว"

***********************************
2 เหตุการณ์นี้ ย้อนเตือนอะไรผมหลายๆ อย่าง เกี่ยวกับการบริหารจัดการทีมงาน การวางแผนรับมือตำแหน่งในอนาคต รวมทั้งการบริหารภาพลักษณ์ของเราในสายตาคนรอบข้าง ผมไม่ได้หมายถึงการเสแสร้งแกล้งทำ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความพึงพอใจที่จำเป็นต่องานของเราครับ

เรื่องราวในแต่ละวันผมคงยังไม่จบแค่นี้ ชีวิตก็คงดำเนินกันต่อไป แต่ขอให้มีสติ ปัญญานำทางละกันครับ

March 1, 2010

บันทึกในลิ้นชัก > รอยด่างของชีวิต / เขียน 31-05-2540

(บันทึกในลิ้นชัก เป็นอีกหมวดหนึ่งของมองมุมเหม่ง จากไดอะรี่เก่าๆ ที่นอนอยู่ในลิ้นชัก ในตู้ มิได้อยู่ใต้ตั่งเตียง เป็นมุมมองเมื่อหลายปีที่ผ่านมา มาดูว่า หลายปีที่ผ่านไป มีอะไรเปลี่ยนแปลงและเติบโตไปบ้าง)
**********************

เหตุที่นึกถึงวลีข้างบนก็เพราะผมมานั่งนึกๆ ดูว่า ชีวิตของคนเราปกติที่มีกันประมาณ 50-60 ปีนั้น ต่างก็มีเรื่องที่ตัวเองทำดี และทำแย่ต่างกรรมต่างวาระกันออกไป เวลาที่ผ่านมา มีหลายเรื่องที่รู้สึกว่าไม่น่าทำไปเลย อยากกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือ ณ จุดเวลาตรงนั้น ความรู้ สติปัญญา ที่มีก็ทำให้ต้องตัดสินใจแบบนั้นอยู่ดี ซึ่งพอมีข้อมูล มีปัญญาที่กว้างขวาง ลึกซื้งกว่าเดิม ก็จะพิจารณาเรื่องราวเหล่านั้นได้ดีกว่าเดิม แน่นอน

แต่จะมามัวนั่งเสียใจมิได้ คงเป็นความเขินอายในตัวเองมากกว่า เพราะทุกๆ คนต่างก็ปรารถนา "เรคคอร์ด ของชีวิต" ที่สมบูรณ์ ไร้ตำหนิ แต่ถ้าชีวิตจะปราศจากริ้วรอยด่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่น่าจะดีเท่าไร เพราะตัวเองจะมองไม่เห็นข้อผิดพลาด ที่จะนำมาพิจารณาปรับปรุงต่อไป

แต่ก็คงจะดีถ้าไม่มีเพิ่มไปกว่านี้ แพรพรรณของชีวิตก็จะสวยสดขึ้นอีกเยอะ
**********************

(คอมเมนต์ - คำเม้า: อ่านดูแล้ว เหมือนคำแก้ตัว ระคนปลอบใจเลยนะ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่มานั่งทบทวน แล้วไม่ให้มันเกิดอีกครั้ง สำคัญกว่านั้นคือ ณ จุดเวลาที่ตัดสินใจ ทำอย่างไรให้ดีที่สุด ขึ้นกับการเรียนรู้ ฝึกฝนให้มากๆ เพื่อลดปัญหาในอนาคตให้น้อยที่สุด)

February 12, 2010

เรียนจากหนัง > Sympathy For Lady Vengence เธอฆ่าแบบชาติหน้าไม่ต้องเกิด (2005)


ไม่นานมานี้ได้อ่านบทความที่พูดถึง "หนังกะบะ" ซึ่งหมายถึงหนัง VCD, DVD ที่วางขายในกะบะเป็นแถวๆ ในห้างหรือร้านค้าทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นหนังเก่าๆ หรือหนัง "ขายพ่วง" มากับโปรแกรมหนังใหญ่ ที่บริษัทจัดจำหน่ายก็มาทำเป็นหนังแผ่น เพื่ออย่างน้อยจะได้เงินมาถัวๆ กันบ้าง

หลายๆ ครั้งผมพบว่า ในกะบะเหล่านี้ มีขุมทรัพย์ที่น่าสนใจ และหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ต้องบอกก่อนว่า หลังๆ นี้ นอกจากหนังฝรั่งซับไทยแล้ว ผมมักจะเลือกหนังเอเชีย (ญี่ปุ่น เกาหลี) ที่พากย์โดยทีมงานพันธมิตร เป็นความชอบส่วนตัวในเรื่องของมุข และน้ำเสียงที่ดูเมื่อไรฮาได้ทุกที

หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในไตรภาค Old Boy ของผู้กำกับ ปาร์ค ชุน วุก ครับ มีสามเรื่องคือ Sympathy For MR. Vengeance (2002) , Oldboy (2003) และสุดท้าย Sympathy For Lady Vengeance (2005) เนื้อเรื่องแยกกัน แต่มีธีมร่วมกัน คือการล้างแค้น และความรุนแรง ซึ่งไม่เหมาะสำหรับเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะนะครับ

เนื้อเรื่องย่อๆ คือ กึมจา (ลี ยอง เอ) โดนจับฐานฆาตกรรมเด็กชายเล็กๆ คนหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญจากสื่อมวลชน เพราะด้วยหน้าตาที่สวยงามของเธอ เธอถูกลงโทษจำคุก 13 ปี ซึ่งหนังค่อยๆ เปิดปมทีละปมว่า เมื่อเธอพ้นคุกแล้ว เธอตั้งใจที่จะล้างแค้นใครคนหนึ่งที่เป็นต้นเหตุให้เธอต้องติดคุก และในที่สุดเธอก็หาคนๆ นี้เจอและได้ล้างแค้นสมใจหมาย

ลำพังเนื้อเรื่องเอง ถ้าเป็นอย่างที่เล่ามาคงไม่มีประเด็นอะไรให้พูดถึงมากนัก แต่ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ คือรายละเอียด "ระหว่างทาง" ที่ผู้กำกับและคนเขียนบทใส่เข้ามา เช่น

ความมุ่งมั่นในการล้างแค้น - ทำให้เธอต้องสานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมคุกต่างๆ ที่จะช่วยเธอได้ในอนาคต หรือผู้กำกับที่สามารถนำเสนอเรื่องของเธอให้กับคนข้างนอก

วิธีการล้างแค้น - ที่ผมแปลกใจและชอบในไอเดียคือ เมื่อเราเจอคนที่เราต้องการล้างแค้นแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะพิฆาตให้อาสัญ แต่สิ่งที่เธอเลือกคือ เธอให้พ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ ที่ถูกผู้ร้ายตัวจริงลักพาตัวและทรมาน มาร่วมในการพิพากษา และล้างแค้นร่วมกับเธอด้วย โดยให้ทุกคนได้ลงคะแนนเสียงว่าเลือกที่จะให้ฆาตกร "อยู่" หรือ "ตาย" อย่างไร และ ถ้าจะให้ "ตาย" จะให้ "ตาย" แบบไหน โดยให้แต่ละคนจับสลากเข้าไปล้างแค้นทีละคน


ที่โหดกว่านั้นคือ ระหว่างที่ประชุมเพื่อลงมติล้างแค้นนั้น เธอปล่อยให้การลงมติ ออกอากาศให้ฆาตกรที่ถูกมัดอีกห้องหนึ่งนั้นได้ยินทุกอย่างด้วย !!

และเธอไม่ลืมที่จะให้ตำรวจคนที่จับเธอ (แทนที่จะจับฆาตกรตัวจริง) มาเป็นสักขีพยานในการล้างแค้นด้วยอีกทางหนึ่ง

เมื่อการล้างแค้นเสร็จสิ้น ทุกคนก็ช่วยกันเก็บกวาด แล้วมาถ่ายรูปร่วมกัน เป็นที่ระทึก และมั่นใจว่าไม่มีใครเบี้ยวแน่นอน


นอกจากจะประทับใจการนำเสนอที่กล่าวไปแล้ว ผมสงสัยว่า ในชีวิตจริงของคนเรา มันจะแค้นหรือโกรธกันได้มากขนาดนี้เชียวหรือ มีคู่สามีภรรยา คู่หนึ่งที่เกือบจะเลือกที่จะ "ให้อภัย" กับฆาตกร เพราะล้างแค้นไปก็ไม่ได้สิ่งที่สูญเสียไปกลับมา แต่ตัวละครอื่นๆ ก็หาเหตุผลดึงกลับมาสู่การล้างแค้นจนได้

อาจจะเป็นไปได้ที่ผมไม่ได้มีประสบการณ์เช่นตัวละครในหนัง แต่เราจะให้ความทุกข์เหล่านี้ผูกมัดตัวเราถึงเมื่อใด หลังจากล้างแค้นแล้ว หนังก็ยังต่อไปด้วยว่า การล้างแค้นก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตคนเหล่านั้นดีขึ้นอย่างใด


ผมคงไม่สามารถบอกได้ว่า "การให้อภัย" เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ตราบใดที่เรายังเจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "การลงโทษ" คนผิดก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่เราจะคาดหวังอะไรกับการลงโทษเหล่านั้น หรือเราพอใจกับ "การขอโทษ" ที่เขาสำนึกและขอจากเราหรือไม่

ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญและจัดการกันต่อไป



February 10, 2010

มองมุมเหม่ง > ดอกไม้ที่หายไป (Where have all the flowers gone?)

ตอนอยู่ไม่รู้ค่า
พอเธอลาเป็นว่าคิดถึง
ทำไมไม่พึ่งตัวเอง
*******************

สองสามสัปดาห์มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ แต่ส่งผลกระทบใหญ่ๆ ในที่ทำงานของผมครับ

มีการเปลี่ยนตัวแม่บ้านคนใหม่ จากบริษัทใหม่ ด้วยเหตุผลที่บางคนอ้างถึงเรื่อง "งบประมาณ" หรือ "คุณภาพงาน" อะไรประมาณนั้น

แม้ว่า คนเดิมที่อยู่กับเรามานานพอสมควร จนจดจำรสนิยมของคนในบริษัทได้ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติกาแฟของนายใหญ่ หรือ น้ำชาบูชาพระของผม เมนูกลางวันของอีกหลายๆ คนที่มักจ้างแกไปซื้อให้ ฯลฯ

จะว่าไป เรื่องเหล่านี้ ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร แค่คนหนึ่งมา แล้วอีกคนหนึ่งไป ตามวัฏจักรของงาน ของชีวิต
จะมีนิดนึง ที่หลายๆ คนคิดว่าแกทำตัว "คุ้นเคย" มากเกินไป

กลับมานึกๆ ดู เรื่องนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นแค่ที่นี่ หรือเป็นเรื่องของบุคคลใดคนหนึ่ง จำได้ว่า ตอนเด็กๆ ที่บ้านจะมีคนทำงานบ้านหลายคน แรกๆ ก็จะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดี แต่พออยู่ๆ ไปเริ่มรู้จัก เริ่มคุ้นเคย สิ่งที่เป็นตัวตนก็จะแสดงออกมา ทำอะไรแล้วนายไม่ว่า ก็จะเลยตามเลย ซึ่งบางอย่างก็ไม่เหมาะสม

อันนี้ ผมว่าขึ้นกับคนที่เป็นเจ้านายด้วย ว่าจะดูแลปกครองอย่างไร เป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาเกรงใจ และเคารพหรือไม่

กลับมาที่ออฟฟิศผมอีกครั้ง แม่บ้านคนใหม่ที่มาแทน อยู่ได้สองวันก็ไม่มาอีกเลย อ้างว่า งานที่นี่มันเยอะกว่าที่เดิม เพราะที่เก่าแกเป็นออฟฟิศเล็กๆ คน 6-7 คน แต่ที่นี่เรามีกว่าครึ่งร้อย ก็เทียบกันไม่ได้

เดือดร้อนฝ่ายบุคคลต้องมาช่วยเก็บกวาด ล้างจาน พร้อมกับออกประกาศเวียนทั่วบริษัท ให้พนักงานทุกคนรับผิดชอบแก้ว จานชาม ของตนเอง

อ่านแล้วก็อย่าขำละกัน ว่าทำไมต้องมานั่งปากเปียกปากแฉะกันอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะว่าทุกคนจะมีความรับผิดชอบที่เท่ากัน บางคนกินเสร็จก็ทิ้งกองไว้อย่างนั้น เหมือนว่าเอาคนใช้หรือคนทำงานบ้านติดตัวมาจากบ้านด้วย หรืออาจจะคิดไปว่าการมีคนช่วยล้างจานชามช้อนนั้น เป็นสวัสดิการอีกอย่างที่บริษัทต้องจัดเตรียมไว้ให้

ย่อหน้าข้างบนเขียนเหน็บๆ นะ แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

คิดเล่นๆ แบบสุดโต่งว่า สุดท้ายเมื่อไม่มีใครเก็บ ไม่มีใครล้าง คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คงจะลุกขึ้นมาจัดการ พร้อมกับเสียงบ่น หรือเป็นภาพที่ ต่างคนต่างทำ ความวุ่นวายก็จะกลับเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ พร้อมกับระเบียบใหม่ในสังคมที่อยู่ร่วมกันว่า กรรมใดใครก่อ คนนั้นรับผิดชอบ

มองในภาพใหญ่ สังคมเราเป็นอย่างนี้จริงๆ บางทีสิ่งที่แก้ไขปัญหาได้อาจจะไม่ใช่ฮีโร่ หรือวีรบุรุษที่ไหน แต่เป็น "กาลเวลา" นั่นเอง

January 28, 2010

มองมุมเหม่ง > เปลี่ยนงาน เปลี่ยนชีวิต (Change)

เปลี่ยนงานเปลี่ยนที่ใหม่

เพื่ออะไรตอบได้หรือเปล่า

งานหนักเบาเอาไหม??

**********************

ตอนแรกว่าจะหยิบเรื่องอื่นขึ้นมา "มอง" ก่อน แต่หลังจากที่คุยกับน้องที่โทรมาปรึกษาเรื่องที่จะเปลี่ยนงานก็เลยต้องลัดคิวให้ก่อนที่จะลืมไปกับสายลมครับ

คำถามหลักๆ ที่น้องสงสัยคือ จะเรียก "เงินเดือน" เท่าไรดี เสนอไปตัวเลขนึง แต่ฝ่ายบุคคลก็ "กด" ลงมาตามธรรมเนียมปฏิบัติ แล้วจะเอาไงดีเอ่ย

บอกไปว่า โปรดใจเย็น น้องชายใจเย็นไว้ก่อน จะรีบร้อนไปถึงตอนสำคัญไปไย เกิดพลาดท่าสรุปตัวเลขไปแล้ว จะถอยลำบากนะ เรามีข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจครบถ้วนหรือยัง

อย่างแรก หลายๆ คนไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่ผมคิดว่าจำเป็นอย่างยิ่ง คือ "การประเมินตนเอง" ก่อนครับ
อย่าลืมนะ ซุนวู ว่าไว้ "รู้เขา รู้เรา รบร้อยชนะร้อยเอ็ด" เราควรจะรู้ก่อนว่า จุดแข็ง จุดอ่อนเรา (ในเรื่องงานนะ) มีอะไรบ้าง เราถนัดในเรื่องไหน ต้องปรับปรุงเรื่องอะไร แล้วจะปรับปรุงเสร็จเมื่อไร หรือ ถ้าปรับไม่ได้ จะทำอย่างไร บางทีการที่ "รู้" ว่าเรามีจุดอ่อนอย่างไร ก็ไม่เป็นจุดอ่อนหรอกครับ

ส่วนขั้นตอนในการต่อรองนั้น เริ่มจาก คุยรายละเอียดงานให้ชัดเจนก่อน ดูว่าจาก รายละเอียดงาน (Job Description) เป็นอย่างไร มีข้อสงสัยอะไรไหม ส่วนใหญ่แล้วเขียนกันแบบกว้างๆ ให้ปลอดภัยไว้ก่อน ตรงนี้เป็นจุดดีที่เราจะซักให้ละเอียด และเป็นช่องทางในการต่อรองได้มากขึ้น เช่น เป็นงานด้านฝ่ายออกแบบเทคนิค ต้องออกไปคุมงานข้างนอกหรือไม่ ต้องออกไปหาลูกค้าหรือเปล่า จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศไหม ฯลฯ เหล่านี้ก็จะทำให้ความเข้าใจงานชัดเจนมากขึ้น ในอนาคตจะมา "มั่วๆ" ก็คงลำบาก

จากรายละเอียดงาน เราย้อนกลับไปดู ความก้าวหน้าก่อน ว่างานตรงนี้โอกาสเติบโตมากน้อยแค่ไหน ในสายงานของเรา หรือว่า ถ้าจะข้ามสายงานไปตำแหน่งอื่นๆ นั้น ยากง่ายอย่างไร เช่น จากตำแหน่งวิศวกรออกแบบ จะข้ามไปเป็น วิศวกรโครงการ หรือ ดูแลฝ่ายผลิตได้หรือไม่ ยิ่งมีทางเลือกมาก ยิ่งดีครับ ตรงนี้ถ้าได้มีโอกาศคุยกับหัวหน้างานโดยตรงจะดีมาก หรือจะดูให้ละเอียดถึงระดับแม่ ลองพิจารณาความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมนั้นๆ เหมือนครั้งหนึ่งที่ วิศวกรในสายโทรคม กลายเป็นมนุษย์ทองคำ เมื่อประเทศไทยเปิดเสรีโทรคมนาคมไงครับ

แต่ความก้าวหน้านี้ ขึ้นกับเป้าหมายของเราด้วย ว่าเราต้องการทำงานอย่างน้อยกี่ปี ต้องการเรียนรู้อะไรบ้าง และบริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาพนักงานอย่างไร เพราะบางที่เงินเดือนน้อยก็จริง แต่เป็นเหมือน "โรงเรียน" ชั้นดีที่จะฝึกเราให้ก้าวหน้าในอนาคตครับ เช่น เครือปูนฯ หรือ ปตท. เป็นต้น

ส่วนบรรยากาศในการทำงาน หรือว่าหัวหน้า, เพื่อนร่วมงานนั้น ผมไม่ค่อยซีเรียสมากนัก อยู่ที่ตัวเราจะสร้างบรรยากาศ หรือปฏิสัมพันธ์กันอย่างไรมากกว่า

ต่อไปก็เป็นเรื่ององค์ประกอบของผลตอบแทนครับ นอกจากเงินเดือนพื้นฐาน, โบนัสหรือคอมมิสชั่นจ่ายอย่างไร มีค่าน้ำมันรถ ค่าโอที และค่ารักษาพยาบาล ที่ว่าครอบคลุมไปถึงคนที่บ้านเราหรือไม่ แล้วมีอะไรที่พิเศษกว่าที่เดิมของเราไหม บางที่ให้ทำฟัน หรือตัดแว่นได้ หรือให้เงินช่วยงานศพ งานแต่ง เหล่านี้ต้องลิสต์รายการออกมา แล้วให้คะแนนว่าตัวไหนจำเป็น หรือสำคัญต่อการต่อรองหรือไม่

อย่างหนึ่งที่หลายคนมักละเลย คือเรื่องของ "เงินสำรองเลี้ยงชีพ" ครับ เงินก้อนนี้เหมือนเป็นเงินพิเศษที่บริษัทจะช่วยเราออมให้ บางที่ให้สูงสุดถึง 10% คิดแล้วก็ไม่น้อยนะครับ

นอกจากผลตอบแทนดังว่าแล้ว ลองถามถึงเรื่องอัตราการขึ้นเงินเดือน หรืออัตราการจ่ายโบนัส "ย้อนหลัง" ดูสิครับ ว่าถ้าเราอยุ่ไปนานๆ แล้วจะมัวมานั่งเสียดาย หรือเสียใจหรือไม่

และเมื่อไปต่อรอง (หรือเรียกให้หรูว่า "สัมภาษณ์รอบสอง สาม สี่" นั้น) อยากให้ทุกท่านพกพา "ความมั่นใจ" ไว้ที่กระเป๋าเสื้อข้างซ้ายด้วยนะครับ อย่าคิดว่าตัวเองห่วย หรือ ไม่มีทางเลือกแล้ว อาการอย่างนี้ เข้าทางฝ่ายบุคคลมากครับ โอกาสที่จะขยำ และขย้ำ เพื่อที่จะแสดงว่า "ข้านะเจ๋งนะโว้ย กดมันซะจมเขี้ยวขนาดนี้" แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกร่างกันเกินสมควร ธรรมเนียมไทย ไปมาลาไหว้ นอบน้อมไว้ ก็ยังใช้ได้ดี

อย่าลืมนะครับ พอจบการต่อรองแล้ว โอกาสที่จะไปเรียกร้องอะไรมากกว่านั้น มันยากยิ่งนัก ถ้าฝ่ายบุคคลถามว่า ทำไมเรื่องมากนัก ตอบเขาด้วยน้ำเสียงชวนฝันนิดนึงว่า "คุยกับพี่ให้เคลียร์วันนี้ ผมจะได้ตั้งใจทำงานอย่างเดียวให้เต็มที่ไงครับ" (น่าน เอาไปอีก 2 คะแนน)

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จากประสบการณ์นิดๆ หน่อยๆ ของผู้เขียนเอง หวังว่าคงไม่เป็นการเสียเวลาของท่านสังฆราชทั้งหลายนะครับ

และขอให้ทุกท่านได้งานที่ถูกใจ กับรายได้ที่คุ้มค่า เพื่อคุณภาพงานที่เกินราคาครับ

January 21, 2010

มองมุมเหม่ง > เธอกับฉันและขนมปังกระโหลก (Bread Story)

ฉันรักเธอรู้ไหม
จะเอาอะไรให้เธอได้
ว่าแต่เข้าใจไหม
*********************
ครั้งหนึ่ง ระหว่างมื้ออาหารแบบไทยๆ ที่ปกติพวกเรามักจะแชร์อาหารระหว่างกันและกันนั้น เพื่อนร่วมโต๊ะบ่นถึงอาหารจานข้างหน้าเขาว่าไม่ถูกปากเสียเลย แล้วก็ตักที่เหลือทั้งหมดมาที่จานของผม
ขณะที่ความงงยังวิ่งขึ้นสู่แกนสมอง ฟอเวิร์ดเมล์เรื่องหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาพร้อมๆ กัน

คิดว่าหลายๆ คนคงจะได้อ่านเรื่องนี้มาบ้างแล้ว วัดจากความถึ่ที่ผมได้รับ ประมาณ 2-3 ครั้ง แต่ขอทวนอีกทีละกันนะครับ
*************************************
สามี ภรรยาคู่หนึ่ง ใช้ชีวิตคู่กันมานานหลายสิบปี ทุกเช้า เขาทั้งคู่จะรับประทานขนมปังเป็นอาหารเช้า และทุกเช้าตลอดหลายสิบปี สามีของเธอจะแบ่งขนมปังให้เธอทุกครั้ง และทุกครั้งอีกเช่นกัน เขาก็จะบิส่วนที่เป็นกะโหลกขนมปังให้เธอ หลายปีเข้า ภรรยาทนไม่ไหว จึงเอ่ยปากถามเป็นครั้งแรก

"ทำไมคุณถึงให้ฉันกินแต่กะโหลกขนมปังตลอดเลย" ภรรยาถาม "มันทั้งแข็ง แล้วก็ไม่อร่อย"


สามีของเธอมองเธออย่างงงงัน แล้วเขาก็วางขนมปังในมือของเขาที่ด้านหน้าของเธอ


"เหรอ" สามีของเธอมีน้ำเสียงเศร้า น้ำตาไหลช้าๆ "ผมขอโทษ ผมไม่เคยรู้มาก่อน แต่ส่วนที่ผมให้คุณน่ะ คือส่วนที่ผมชอบที่สุด"
*************************************
สิ่งหนึ่งที่ผมยังยืนยันจนกระทั่งทุกวันนี้ ปัญหาจากเพื่อนๆ หลายๆ คน หลายองค์กรที่เป็นประเด็นใหญ่ ก็คือ ปัญหาในการสื่อสาร ครับ

กลับไปที่เรื่องข้างบน เหตุการณ์นี้จะจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง ตั้งแต่วันแรกที่แต่งงานกัน โดยไม่ต้องรอให้ผ่านมาหลายสิบปีก็คือ ถ้าฝ่ายชายจะถามภรรยาสักนิดว่า ขนมปังก้อนนี้ ที่รักอยากทานส่วนไหนจ๊ะ

เพราะไม่ว่าคำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไร ก็จะแฮปปี้กันทุกฝ่าย ไม่ว่าจะ ชอบส่วนกระโหลก ซึ่งฝ่ายชายย่อมดีใจที่ชอบคล้ายๆ กัน และดีใจที่ได้แบ่งปันให้คนที่เขารัก

หรือว่า ถ้าชอบส่วนนุ่มๆ ทั้งสองคนก็จะมีความสุขกับการกินอย่างเต็มที่

เห็นไหมครับ แค่คำถามเดียว ไม่ต้องทนลำบากกันอย่างนั้น หรือจะมองกลับในมุมฝ่ายหญิงบ้าง ทำไมไม่ถามสามี หรือ เอ่ยปากขอจากสามีไปเลยละครับ ว่าตนเองต้องการอะไร

การบอกฝ่ายตรงข้ามว่าตนเองต้องการอะไร ก็เป็นการแสดงความชัดเจนอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องการเห็นแก่ตัว หรือเอาเปรียบประการใด แต่คนไทยหลายๆ คนมักจะติดกับคำว่า "เกรงใจ" กันซะมากมาย

ถ้าบอกไปซะแต่แรก ฟันฟางก็คงไม่เยินกับขนมปังกระโหลกอย่างนั้น

มองต่อไปว่า ถ้าภรรยาเก็บกดความอดทนไปจนตาย ไม่เอ่ยปากพูดขึ้นมา ลึกๆ แล้วในใจของทั้งสองคนนี้จะเป็นอย่างไรครับ อาจจะต้องทนทุกข์กับขนมปังกระโหลกไปตลอดชีวิต

ดังนั้น เพื่อประโยชน์สุขของมวลชนทุกเหล่า ขอให้พวกเราให้ความสำคัญกับการสื่อสารให้มากกว่านี้เถิดครับ อย่างที่คนขายมือถือเขาว่า

คุยกันมากขึ้น รักกันมากขึ้น

January 7, 2010

มองมุมเหม่ง > เพื่อน 2 คน (Friends)

เด็กเด็กนั้นเปลือกบาง
พอเติบใหญ่ทางใครทางคน
เปลือกกับใจเปลี่ยนไหม
*************************

จะว่าไป ผมเองค่อนข้างมีเพื่อนฝูงอยู่พอสมควร ทั้งจากโรงเรียนฝรั่งย่านสามเสน ต่อเนื่องไปยัง มหาลัยฯ อกแตก มีรถไฟพาดผ่าน (แถมตอนนี้ มีถนนมอเตอร์เวย์ประกบหลังบ้าน) จนมาถึง มหาลัยฯ เก่าแก่ตรงข้ามวัดหัวลำโพง

การที่มีเพื่อนเยอะ ก็เป็นสิ่งดีที่สอนให้เรารู้จักและเข้าใจ "คน" มากขึ้น "คน" ที่มาจากต่างพื้นเพ พื้นฐานครอบครัว หน้าที่การงาน ฐานะ ที่ต่างกัน

แต่อย่างน้อยผมคิดว่า ทุกคนก็เป็นคนดี และมีอะไรให้เราได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าจะให้เขียนกันจริงๆ คงเขียนกันได้หลายบท หลายตอน แต่วันนี้จะขอพูดถึงแนวคิดในการใช้ชีวิตของเพื่อนสัก 2 คนครับ

เพื่อนคนแรก พื้นเพพ่อแม่เป็นข้าราชการระดับสูงที่อบอุ่น มีฐานะดีพอสมควร ชีวิตราบรื่นเกือบทุกด้านตั้งแต่เด็กๆ พอเรียนจบวิศวะจากต่างประเทศก็เข้าทำงานในบริษัทชั้นนำ ปัจจุบันเป็นหัวหน้าแผนกระดับกลาง มีภรรยาและครอบครัวที่น่ารัก นานๆ ครั้งจะเห็นเขามาร่วมกินร่วมดื่มกับพวกเราบ้าง แต่ก็อย่างว่าไป กลับก่อนประจำ

เพื่อนอีกคน มาจากฐานะธรรมดา พ่อเขาเป็นอดีตนายสิบที่ผันตัวมาเป็นครูประชาบาล ใช้ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ กินมื้อนี้ อดมื้อหน้า กว่าจะจบวิศวะก็เลือดตาแทบกระเด็น เปลี่ยนงานมาก็หลายบริษัท ล่าสุดใช้ชีวิตเป็นพนักงานขาย มีผลงานระดับแนวหน้าของบริษัท

ครั้งล่าสุดที่นัดกันตีกอล์ฟรวมรุ่น เพื่อนคนแรกควบรถเก๋งญี่ปุ่นเก่าๆ ที่ใช้มาแล้วกว่า 10 ปี พร้อมกับอุปกรณ์กอล์ฟที่ใช้มาตั้งแต่ครั้งเพิ่งเริ่มทำงาน แถมใส่รองเท้าผ้าใบเก่าๆ

เพื่อนคนหลังมาช้า เหตุเพราะเมื่อคืนดื่มดึกไปหน่อย มาพร้อมกับรถยุโรปใบพัดสีฟ้า รุ่นล่าสุด รองเท้า กระเป๋า ไม้กอล์ฟ รุ่นล่าจากธนิยะ (แหล่งอุปกรณ์กอล์ฟชั้นนำ)

ระหว่างการตี ผมได้มีโอกาสคุยกับพวกเขา รวมไปถึงแนวคิดการใช้ชีวิตส่วนตัวที่ไม่เจอกันนาน

******************************
"... เหม่ง กูเป็นคนขี้กังวลว่ะ บางคืนก็นอนไม่หลับ มัวแต่คิดว่า ถ้าต่อไปลูกกูโตแล้วจะเป็นไงบ้าง แล้วตอนกูเกษียณแล้ว กูกับแฟนจะอยู่ยังไง ...."

"... ชีวิตเรามันก็เท่านี้ จะเอาอะไรมากมาย เที่ยวให้มันส์ ใช้ชีวิตให้คุ้ม ลูกเราเลี้ยงได้แต่ตัว โตมาก็เป็นคนอื่นแล้ว ....."

"... แหม ปีนึงกูตีกอล์ฟประมาณ 3-4 ครั้ง รองเท้ากอล์ฟแพงๆ ไม่จำเป็นหรอก ไม่ได้ไปแข่ง ไปโชว์ใครที่ไหน..."

"... มันมีผลต่อภาพลักษณ์ว่ะ เวลาไปหาลูกค้า ไปออกรอบด้วยกัน แม่งมองกูตั้งแต่หัวจรดส้นตีนเลย..."

"... งานกูก็ดี ทำไปเรื่อยๆ นั่นแหละ แข่งไปปวดหัวเปล่าๆ กลับบ้านช่วยเมียเลี้ยงลูกดีกว่า..."

"... เป็นเซลล์มันก็เหนื่อยหน่อย นายกูบี้ยอดทุกเดือนเลย เลยไม่ค่อยมีเวลามาเจอพวกมึงไง.."

"... เออ ตอนนี้กูซื้อที่ไว้แปลงนึง ริมแม่น้ำ เอาไว้ปลูกผัก ปลูกหญ้าไว้กินตอนแก่ ..."

"... ช่วงนี้หุ้นมันดีว่ะ เมื่อวานเพิ่งขาย ปตท. ไป เลยออกแบล็กเบอรี่มาใช้หน่อย เห็นเขากำลังฮิตกัน มึงไปซื้อบ้างดิ ..."
******************************

จากตัวอย่างบทสนทนากับพวกเขา คิดว่า คงจะพอเห็นแนวคิด การใช้ชีวิตที่ต่างกันนะครับ คงไม่มีความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติม เพราะทั้ง 2 แนวคิด ต่างก็มีจุดดี จุดด้อย ในตัวมันเอง

เราควรจะเข้าใจ และปรับให้ได้ว่า ในเวลาไหน ตอนไหน ควรจะประยุกต์แนวคิดไหนมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการออม การลงทุน หรือ กับครอบครัว จะบู๊ระห่ำ หรือ เรียบง่ายสบายๆ ก็เลือกเอา

แต่สุดท้ายแล้ว เกมส์กอล์ฟในวันนั้น ก็พาเราย้อนเวลาไปเป็นเด็กกันอีกครั้ง

January 1, 2010

แวะคิด แวะคุย > สวัสดีปีใหม่ ใจดีสู้เสือ (Happy Year of Tiger)

ในวาระดิถีขึ้นปีเสือ
ขอให้เชื่อเถิดว่าดีกว่าเก่า
อย่ากลัวเสือมันสู้อยู่ที่เรา
ไม่ต้องเศร้าก้าวต่อไปใจทนง
***************************

The MEngMORY ก็ขอสวัสดีปีใหม่ 2553 ทุกท่านที่บังเอิญผ่านมา "แวะคิด แวะคุย" กับเรานะครับ คงไม่ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มาช่วยอะไรท่านได้ เพราะคนขอเองก็ยังจนปัญญา ตันปัญหาอยู่เช่นกัน และไม่สนับสนุนให้ต้องมาฝันลมๆ แล้งๆ ดังคำสอนของสมเด็จพระพุทธเจ้า "อัตหิ อัตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน นั้นดีที่สุดครับ

พูดถึงเนื้อหาที่ว่ากันมาไตรมาสกว่าๆ ก็คงจะคละเคล้ากันไป ถูกใจบ้าง ไม่ต้องใจบ้างก็แนะนำมาได้นะครับ ความตั้งใจที่จะพยายามเขียนให้ได้ทุกสัปดาห์ ก็เริ่มคลาดเคลื่อนไปบ้าง ต้องขออภัยมิตรรักแฟนเพลงมา ณ ที่นี้ ในปีต่อไปก็คงจะตรงเวลาให้มากกว่าเดิม พร้อมกับเนื้อหาที่หลากหลายละกันครับ

ในวันเบาๆ สบายๆ อย่างนี้ (ก่อนที่จะเจอกับวงจรชีิวิตเดิมๆ ในอีก 2 วันข้างหน้านี้) ก็คงจะเล่าให้ฟังถึงมุมมองเกี่ยวกับ "ปีใหม่" กันพอขำๆ ละกันนะครับ

(๑) ดวงของท่า่นในวันปีใหม่
- ในวันปีใหม่นี้ หลายๆ สำนักก็มักจะนำคำทำนายดวงมาให้พิจารณาว่ากันไว้ ทั้งดีและไม่ดี แต่ส่วนใหญ่จะไม่ดีมากกว่า บางคนอ่านแล้วก็คงจะเซ็งและพาลวิตกจริตถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าหยุดคิดสักนิด คำทำนายนั้น บางอย่างเราสามารถกำหนดไ้ด้ เช่น ทายว่าของจะหาย หรือ จะมีปากเสียงกับคนรัก ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ เราสามารถป้องกันได้เลย ดังนั้น เพื่อให้เป็นการดี เราน่าจะ "รับฟัง" สิ่งไม่ดีที่หมอดูเหล่านี้ "ทัก" กันไว้บ้าง ถึงแม้สุดท้ายจะไม่แม่น แต่ก็ดีกว่านะครับ

(๑) ไปรวมกันนับถอยหลัง
- นั่งดูทีวีบรรยากาศการนับถอยหลังหลายๆ ที่ หลายๆ ประเทศ ภาพที่เห็นก็น่าจะสนุกสนานกันดีนะครับ แต่อยากให้คิดถึงสิ่งที่จะตามมาหลังเลิกงานบ้าง ทั้งจำนวนฝูงชนที่แย่งกันกลับบ้าน การจราจร ราคาสินค้า บริการที่ขึ้นราคากันน่าเป็นห่วง ฯลฯ อันจะพาลให้หงุดหงิดกันได้
นอกจากนั้นแล้ว เรื่องราวของซานติก้าผับ ที่เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ในวันปีใหม่ ก็ยังตามหลอกหลอนฝันร้ายอีกหลายๆ ท่านครับ

(๑) หยุดยาวๆ ไปเที่ยวกันดีกว่า
- นอกเหนือจากพี่น้องชาว ตจว. ที่จะกลับบ้านแล้ว พี่น้องชาวไทยอีกส่วนก็นิยมจะไปพักผ่อนตามสถานที่ต่างๆ เช่น พัทยา หัวหิน เชียงใหม่ เชียงราย ฯลฯ ปัญหาที่ตามมาคือ "ความแออัด" ครับ แ่ย่งกันกิน แย่งกันใช้ แย่งกันพักผ่อน เป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เอาเปรียบผู้บริโภคอย่างเรา ทั้งราคาที่แพงขึ้น คุณภาพสินค้า บริการที่ต่ำกว่าเดิม (เนื่องจากปริมาณลูกค้าที่เกินการจัดการ) และภาพลักษณ์ที่ติดลบ เหล่านี้เจ้าของกิจการเอง ก็ไม่แฮปปี้เท่าไร (แต่น้ำขึ้นละนะ ขอฉันตักหน่อย)

(๑) ฉายารัฐบาล ฉายานักการเมือง
- ทุกสิ้นปี สมาคมนักข่าวฯ จะมีการสรุปข่าว และตั้งฉายาให้กับรัฐบาล นักการเมือง เป็นประจำ ตอนเด็กๆ ผมติดตามอ่านเรื่องเหล่านี้จากหนังสือพิมพ์ต่างๆ ด้วยความสนุกสนาน แต่หลังจากผ่านมาหลายสิบปี ก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ จากนักการเมืองเหล่านี้ จนทำให้ผมสงสัยว่า "มันจะเสียเวลาหรือเปล่าน้อ"

(๑) ของเก่า เอามาเล่าให้ขำๆ
- นั่งดูทีวีที่บ้าน แทบทุกรายการจะตัดต่อเอาบางตอนที่เคยฉายไปตลอดทั้งปีมา "ยำ" เป็นเมดเลย์ มาฉายเอากำไรกันอีกครั้ง จนแทบเป็นธรรมเนียมกันไปแล้ว อืม มันง่ายไปหรือเปล่าครับ

เหล่านี้ก็เอามาคุยกันให้ฟังพอครึ้มๆ ละกัน อย่างไรก็ดี อยากให้ทุกท่านมีเวลาให้กับตัวเอง ในการทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา ลด ละ เลิก อะไรที่ไม่เข้าท่า และหวังว่า ทุกท่านคงจะผ่านปีเสือนี้กันไปอย่างสบายๆ นะครับ