December 26, 2009
เป็นเรื่อง > ห่างกันวันเทศกาล
"... ยิ้มแล้ว วันนี้ไปลอยกระทงด้วยกันนะ ... พี่ป๊อป"
ยิ้มน้อยๆ ตรงกันข้ามกับข้อความที่ตอบกลับไป
" ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากไปทำแม่น้ำสกปรก หนูนะกรีนพีชนะคะ สิ้นเดือนเงินเดือนออกแล้วไปแดนซ์ดีกว่า"
********************************************************************
บ่ายของวันที่ 23 ธันวาคม เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น ระหว่างที่พักสายตาจากจอคอมฯ
"ฮัลโหล เจนเหรอ คืนพรุ่งนี้ไปฉลองคริสตมาสกันไหม ผมจองโต๊ะบนลานดาดฟ้าที่โรงแรม xxx นี้แล้ว ผมอยากจะไปกับคนพิเศษอย่างคุณนะ"
"อืม ขอบคุณมากค่ะ แต่เจนติดธุระกับที่บ้านน่ะ โทษทีนะ ไว้คราวหน้าได้ไหม แล้วจะโทรกลับหาแม็คอีกทีนะ"
********************************************************************
เช้า 30 ธันวาคม SMS จากคนคุ้นเคย รอส่งเธอก่อนไปทำงานวันสุดท้าย
"Good Morning ที่รัก ไปเคานท์ดาวน์รับปีเสือที่ลานเซนทรัลเวิลด์กับผมนะครับ จาก พี่ต้อม"
เธอตอบกลับทันที
"ขอบคุณมากค่า แต่ไม่ไหวหรอก คนเยอะอ่ะ ไว้ไปหลังปีใหม่ละกัน แต่อย่าไปเหล่ใครละ"
********************************************************************
13 กุมภาพันธ์ ตอนเย็น โทรศัพท์ดังขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน
"เจน พรุ่งนี้ว่างไหม ผมอยากชวนคุณไปดูหนังเรื่อง xxx ที่คุณชอบตอนดูหนังตัวอย่างไง แล้วไปแฮงกันที่เอกมัยต่อนะ ผมไปรับเอง"
"พี่เอกเหรอ พรุ่งนี้ไม่ไปนะ ต้องไปเยี่ยมคุณย่านะ แต่เจนได้รับดอกไม้จากพี่แล้วนะ สวยเชียว ไว้เจนเลี้ยงข้าวพี่ตอนวันเกิดพี่เดือนหน้าละกัน นะ นะ"
********************************************************************
14 กุมภาพันธ์ เจนนั่งเงียบๆ คนเดียวที่บ้านกับอารมณ์ที่หดหู่ นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ ทั้งจากพี่ป๊อป แม็ค พี่ต้อม และพี่เอก ชายหนุ่มทั้ง 4 คนอยากให้วันนี้เป็นวันพิเศษระหว่างพวกเขาและเธอ โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะ ที่ทุกคนต่างใจตรงกัน และเธอเองก็ยังไม่อยากทำให้ใครต้องเสียน้ำใจ ทำให้เธอต้องเลือกที่จะปฏิเสธทุกคำเชิญในทุกๆ วันเทศกาลของความรัก ตั้งแต่ปีใหม่ วาเลนไทน์ ลอยกระทง และคริสตมาส มีเพียงเงาตัวเองกับคนในจอทีวีเป็นเพื่อนเท่านั้น
ในทางกลับกัน เธอให้เวลาเต็มที่กับทุกคนในวันปกติที่ไม่ใ่ช่เทศกาล บริหารเวลาจนน่าจะได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ เธอพยายามจะหาข้อสรุปให้ได้ว่าใครคือ "คนที่ใช่" สำหรับเธอกันแน่ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย ฝันร้ายของเธอกับเหตุการณ์รถไฟชนกันตั้งแต่สมัยเรียน ที่หนุ่มสามย่านต้องมีเรื่องกับหนุ่มท่าพระจันทร์ ยังตามมาหลอนเธออยู่เป็นระยะๆ กับสมญานามที่เรียกกันลับหลังว่า "เจ้าชู้ตัวแม่"
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขัดจังหวะความเศร้า
"ปิดมือถือเหรอลูก เมื่อกี้มีโทรศัพท์เข้ามาที่บ้าน เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนเราชื่อต้อมน่ะ แม่ก็นึกว่าหลับแล้ว เห็นเพลียๆ มีอะไรหรือเปล่า"
แม่เธอเองก็พอจะรู้จักนิสัยของลูกสาวดี ดังนั้นเจนจึงตัดสินใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง
"อืม ก็สมควรละนะ ที่ทุกคนเขาจะคาดหวังกับเราไว้มากอย่างนี้ จริงๆ แล้วแม่กับพ่อเองก็เคารพความคิด การตัดสินใจของลูกนะ แต่การที่จะมีตัวเลือกหลายๆ คนก็ไม่ผิด ตราบใดที่มันไม่ได้เลยเถิดไปมากกว่าการเป็นแฟนนะ"
"แต่ถ้าจะต้องตัดสินใจ อยู่ที่ว่าทั้งเราทั้งเขาจะอยู่ดูแล และไปด้วยกันได้ในทุกๆ เรื่องหรือเปล่า รวมไปถึงสิ่งแวดล้อม สังคม ของทั้งสองฝ่ายด้วย คนไทยนะเวลาแต่งมันก็เหมือนทั้งสองครอบครัวต้องแต่งกันไปด้วยโดยปริยายนะ และในจุดที่แตกต่างกันนั้น ทั้งเราและเขารับกันได้ไหม มันจะมีปัญหาในอนาคตหรือเปล่า เหล่านี้เจนต้องเอามาคิดด้วยนะลูก บางคนนั้นก็ต้องดูกันยาวๆ ช่วงโปรโมชันบางทีมันก็หวือหวาไปอย่างนี้แหละ"
"แล้วกับป๊ะป๋าละ ทำไมแม่ถึงคิดว่าใช่ละ" เธอถามในสิ่งที่ไม่เคยคิดสงสัยมาก่อน
"สำหรับแม่นะ แม่เลือกพ่อเพราะเขาแสดงให้แม่เห็นไง ว่าเขามีความรับผิดชอบ ทั้งต่อสิ่งที่ได้สัญญาไว้ และการวางแผนอนาคต ก็อ่ะนะ ดูแล้วพ่อเขาไม่ค่อยจะโรแมนติกเท่าไร แต่ก็ไม่ทำให้แม่ต้องเสียดายเวลา 30 ปี ที่เราได้รักกันเลย"
"ส่วนเจนเองน่ะ ถ้าถึงเวลาต้องตัดสินใจก็ต้องทำ อย่าลังเล หรือคิดจะถนอมน้ำใจทุกฝ่ายเลย ท้ายที่สุดแล้ว ก็มีแค่คนเดียวที่สมหวังเท่านั้น ที่สำคัญ เราคิดว่าเราเองก็มีดีพอสำหรับคนที่จะเขามาหรือเปล่า ดีพอที่เขาจะทุ่มเททุกอย่างให้เราหรือเปล่า หรือแค่ว่าเราเองก็เหมือนๆ สาวๆ คนอื่นๆ ของเขาเหมือนกัน"
********************************************************************
คืนวันวาเลนไทน์นี้ เจนนอนหลับอย่างสบายใจ ความรู้สึกหดหู่ที่ต้องเดียวดายในวันเทศกาลต่างๆ แม้ไม่อาจหายไป แต่ก็บรรเทาลง พรุ่งนี้ สิ่งที่เธอจะต้องทำแต่เช้าก็คือการโทรไปหาใครคนหนึ่งในสี่คนนั้น
December 22, 2009
มองมุมเหม่ง > คับที่อยู่ได้ คับใจก็ไม่ต้องอยู่ (The Best Place to Work)
อึดอัดใจก็ไม่อยากอยู่
หยั่งรู้ด้วยตัวเอง
******************
ผลดีอย่างหนึ่ง นอกเหนือไปจากภาพลักษณ์ (และโอกาสที่แต่ละบริษัท จะหาเรื่องออกข่าวประชาสัมพันธ์เพื่อบลัฟชาวบ้านแล้ว) การสำรวจนี้ น่าจะใช้เป็นกระจกให้แต่ละบริษัทได้ "ส่อง" ดูตัวเองบ้างว่า เรามีการจัดการบริหารได้เหมือนหรือแตกต่างกับบริษัทอื่นๆ อย่างไรบ้าง อะไรจะเป็นปัจจัยให้พนักงานรู้สึก "ดี" และอยากที่จะ "ทุ่มเท" ให้กับเรายิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งต้องดูให้ดีนะครับ ว่าอะไรที่ทำได้หรือไม่ จำเป็นหรือเปล่า ไม่ใช่ว่า เห็นช้างขี้แล้วต้องขี้ตามช้าง
อีกประเด็นที่ผมยังไม่เห็นในรายงานพวกนี้ คือเรื่องของการตอบโจทย์ทางธุรกิจ ว่าหลังจากดำเนินมาตรการต่างๆ นี้แล้ว บริษัทเหล่านี้มีผลกำไรมาก น้อยแค่ไหน หรือมีอัตราหมุนเวียนพนักงานเข้า-ออกเป็นอย่างไร แล้วคนที่ลาออกจากบริษัทเหล่านี้นั้น มีสาเหตุจากอะไร ฯลฯ ภาพเหล่านี้ไม่ฉายให้เห็น ไม่วิเคราะห์ให้ดี ก็จะพาลหลงทางกันไปได้ครับ
ซึ่งถ้าอ่านกันลึกๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญ และไม่ยากในการปฏิบัติคือ
- การรับฟังพนักงาน ให้พวกเขาได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ได้มีส่วนร่วม ในการที่จะกำหนดความเป็นไปของบริษัทร่วมกัน
- ให้ความยุติธรรม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ คนทำถูกได้รางวัล คนทำผิดต้องรับโทษตามที่ตกลงกันไว้
- เห็นพนักงานเป็นคน ไม่ใช่เครื่องจักร มีการกำหนดสวัสดิการที่เหมาะสม คิดถึงพนักงานในมุมอื่นๆ เช่น เรื่องสุขภาพ การพักผ่อน
ส่วนเรื่องการจูงใจแบบอื่นๆ นั้น ผมว่าเป็นลูกเล่นที่จะกำหนดกันขึ้นมามากกว่า แต่ก็น่าสนใจดี
บริษัทที่พนักงานอยาก "อยู่" ด้วยกันนานๆ นั้น บางทีก็ขึ้นกับเหตุผลของแต่ละคน พนักงานต้องรู้ว่า ตนเองเข้ามาในบริษัทนี้ต้องการอะไร ที่สามารถตอบความต้องการของเขาได้ เช่น ใกล้บ้าน งานท้าทาย เงินเดือนดี อบอุ่น มีสาวๆ (หรือหนุ่มๆ) เยอะ ภาพลักษณ์ดี เป็นที่รู้จัก ฯลฯ ถ้าผู้บริหารมัวแต่จะเอาใจทุกๆ คน คงจะบ้าตายกันไปก่อน
เหล่านี้ทำให้ "บริษัทที่น่าอยู่ด้วย" ของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกครับ
นอกจากนั้นแล้ว คนที่เข้ามาใหม่ ก็ต้องมีส่วนร่วมในการทำให้ "น่าอยู่" ด้วยเช่นกัน ถ้าสักแต่ว่าเข้ามาเพื่อตอบโจทย์ตัวเองอย่างเดียว สุดท้ายมันก็อาจจะ "ไม่น่าอยู่" สำหรับคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
December 21, 2009
มองมุมเหม่ง > อยากใกล้แต่ต้องไกล (Far but Close at Heart)
หลายปีที่ผ่านมา ช่วงใกล้ปีใหม่ผมมักจะมีนัดไป "พักร้อน" ในโรงพยาบาลต่างๆ เป็นประจำ ที่จริงไม่ได้เป็นธรรมเนียมเหมือนตรุษจีน หรือเช็งเม้ง หรือเพราะนัดพยาบาลที่ไหน แต่เพราะหักโหมร่างกายในงานปาร์ตี้กินดื่มจนเกินปกติ เขียนแสดงตัวอย่างนี้ก็ไม่อยากให้ใครเอาเยี่ยงอย่างนะครับ เดินกันทางสาย "พอดี" เป็นดีที่สุด
เวลาที่ต้องล้มหมอนนอนเสื่อนั้น ก็เป็นช่วงทั้งดีทั้งแย่ ที่แย่นอกเหนือไปจากความเจ็บป่วยที่ได้รับ คือ งานต่างๆ ที่ยังไม่เสร็จ ก็จะยังไม่เสร็จต่อไป ทำให้เราป่วยได้อย่างไม่สบายใจ ไม่รวมกับรายจ่ายค่าพยาบาลที่นับวันจะไม่อนุญาตให้เราอ่อนแอได้บ่อยๆ แล้ว
ข้อดีที่เห็นชัดคือ มีเวลาพักได้เต็มที่ ได้หยุดคิดทบทวนกิจกรรมดี กิจกรรมเลวต่างๆ ที่ผ่านมา เพื่อที่จะบอกตัวเองไม่ให้ทำมันอีกครั้ง
ข้อดีอีกอย่างคือ ได้มีคนที่ "รัก" เรา "ห่วงใย" เรามาเยี่ยมเยียนให้เรารู้สึกไม่เดียวดายและว่างเปล่าเกินไปนัก ครั้งหนึ่งที่ผมป่วยหนัก เพื่อนๆ มาหากันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำให้วันนั้นกลายเป็นงานเลี้ยงรุ่นย่อยๆ ไปเลยทีเดียว
แต่ประเด็นที่ต้องคิดถึงคือ คนป่วยก็อยากให้คนที่รักมาเยี่ยม แต่คนที่มาเยี่ยม แม้ว่าจะมาด้วยใจ ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเองก็มีความเสี่ยงที่จะติดโรคจากเรา หรือคิดโรคอื่นๆ จากโรงพยาบาล ซึ่งว่ากันตรงๆ แล้วเป็นที่รวมสรรพโรคเลยทีเดียว
ก็น่าลำบากใจไม่น้อยนะครับ ที่บางครั้งเราต้อง "จำใจ" ให้คนที่รักเราอยู่ไกลๆ เราดีกว่า
ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่อาจจะเป็นหรือลงเอยอย่างนี้ ก็มองกันให้เข้าใจ ใช้เทคโนโลยีเขามาสื่อสารกัน คงช่วยบรรเทากันได้บ้าง
หายดีแล้ว ก็กลับมา "รัก" กันเหมือนเดิมนะครับ
December 13, 2009
มองมุมเหม่ง > คนที่เหมือนกับเรา (Whom We Are Looking For??)
แค่ขอมีที่ใจตรงกัน
เพียงพอเท่านั้นหรือ??
**************************
บางทฏษฏีของความรักเคยบอกว่า "เรามักมองหาคนที่เหมือนกับเรา" ทั้งในแง่การคบหาหรือคนรัก ซึ่งผมเองก็เคยเชื่อในเรื่องนี้เหมือนกัน คิดไปเองว่า การได้เจอคนที่เหมือนกับเรา คิดคล้ายๆ กัน มีรสนิยมเหมือนๆ กัน น่าจะเป็นสิ่งที่ดี คุยกันรู้เรื่องไม่ต้องปวดหัวมาก
ถึงกับเพ้อไปว่า ถ้าการโคลนนิ่งแพร่หลายและมีราคาถูกกว่านี้ อาจจะไปโคลนตัวเองเอาไว้มาช่วยทำงานสักหน่อย แล้วตัวต้นแบบอย่างเราก็หลบไปพักซะบ้าง เหมือนกับที่ฮอลลีวูดเคยฝันมาเป็นหนังหลายๆ เรื่อง เช่นจับ ไมเคิล คีตัน (แบทแมนภาค 1) มาวุ่นวายกับตัวเองแบบขำๆ ในเรื่อง Multiplicity หรือเอาซีเรียสหน่อยก็น้าอาร์โนลด์ที่โดนก็อปปี้ตัวเองในเรื่อง The 6th Day เป็นต้น
December 3, 2009
มองมุมเหม่ง > โลกที่ไม่พร้อม (Never Ready World)
หวังว่าทุกอย่างจะพอดี
ไม่มีที่ไหนพร้อม
********************
วันหนึ่งไม่นานมา ระหว่างการติดตามความคืบหน้าในงานที่มอบหมายไว้ ทีมงานของผมอ้างถึง "ความไม่พร้อม" เป็นนัยๆ ถึงความล่าช้าที่ปรากฏ ทำให้ต้องย้อนกลับมามองว่าสิ่งที่ไม่พร้อมนั้น มันจริงหรือไม่อย่างไร
ประเด็นแรกเลย คือถ้าทุกอย่าง "พร้อม" แล้วจะทำงานได้สำเร็จตามที่คิดหรือไม่ หรือแค่เป็นเพียงความคาดหวังว่า ถ้าทุกอย่างมันพร้อม เราก็เดินไปกดสวิทช์ให้มันทำงานได้อัตโนมัติ มันจะไม่มีอุปสรรคอื่นๆ เลยหรือไร เรามีแผนสองที่จะรับมือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดอย่างไรบ้าง
ถัดมาเป็นมุมมองต่อความพร้อมนั้นๆ ว่า คนสองคนจะมีระดับ "ความต้องการ" ความพร้อมนั้นเท่าไร พ่อครัวคนแรกอาจจะมองว่า แค่วัตถุดิบครบก็พร้อมที่จะปรุงอาหารรสเลิศแล้ว ในขณะที่อีกคนต้องรอปัจจัยเสริมอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งสองคนนี้ไม่มีใครผิดที่จะคิด อยู่ที่ผลลัพธ์สุดท้ายใครจะตอบโจทย์ได้ดีกว่ากันเท่านั้น
เวลาก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่บ่งบอกถึงความพร้อม ลูกค้าหลายๆ รายไม่เข้าใจในประเด็นนี้ มักจะคาดหวังว่าผลงานที่ใช้เวลา 5 วันต้องดีกว่าหรือเท่ากับงานที่มีเส้นตายแค่ 3 ชั่วโมง ส่งผลให้เกิดความขัดเคืองที่ไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งหลายครั้งจำเป็นต้องชี้แจงอย่างหนักแน่นถึงคุณภาพที่สัมพันธ์กับเวลาอย่างนี้
สุดท้ายคงเป็นเรื่องมุมมองของ "วิกฤตและโอกาส" ซึ่งในความไม่พร้อมนั้น วิกฤตเป็นสิ่งที่คนทั่วไปย่อมเห็นแน่นอน แต่โอกาสล่ะ มีใครสังเกตและสามารถฉวยมันมาเป็นประโยชน์หรือไม่ ตัวอย่างที่คลาสสิคคือ องค์กรที่ไร้ผู้นำ คนส่วนใหญ่คิดว่าแย่แน่ๆ แต่โอกาสก็คือ คนทำงานระดับรองๆ ลงไป สามารถที่จะฉายแสงให้ตัวเองโดดเด่นขึ้นมาได้ หรือเป็นจังหวะที่จะได้ผู้นำที่สร้างสรรสิ่งใหม่ๆ ให้กับหน่วยงานเรา
มันเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีอะไรพร้อม หรือสมบูรณ์ที่สุด ขึ้นกับว่ามุมมองหรือทัศนคติของเราจะมองเรื่องเหล่านี้ให้ "สร้างสรร" และพลิกกลับมาให้เป็นประโยชน์อย่างไร ขอให้ใจเย็นๆ ถอยออกมาสักก้าวแล้วลองมองดูอีกครั้งครับ
November 26, 2009
มองมุมเหม่ง > ระหว่างปลายเส้นของหลักการและอารมณ์ (Inbetween Logic & Emotion)
บนทางเดินของความสัมพันธ์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพศตรงข้าม หรือเพศข้างๆ หลายครั้งที่มีเรื่องราวที่เห็นต่าง ที่ไม่ลงรอยกัน แต่ลงเอยด้วยการทะเลาะกัน
กลับมาคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะต่างฝ่ายต่าง "ยืน" ในมุมของตัวเองแล้วมองออกมา เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ทั้งสองฝ่ายหลุดจากจุดเดิมของตนที่จากที่ต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อผลที่สร้างสรร กลับกลายเป็นโต้แย้งเพื่อเอาชนะกัน
หลายครั้งที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนเงียบและปล่อยให้เรื่องราวจบลงไปโดยไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน
หลายปีที่ผ่านมา มีหนังสือโด่งดังขายดี พูดถึงมนุษย์ดาวอังคารและดาวศุกร์ เทียบกับฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เพื่อให้เข้าใจฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น แต่เท่าที่เห็น คนเขียนรวย แต่คนซื้ออีกมากมายยังมีปัญหากับคู่ของตนเองเหมือนเดิม
ผมเริ่มประเด็นนี้ด้วยคำติติงกึ่งคำถามที่ว่า ผมเป็นชาวดาวอังคารอพยพมาจริงๆ หรือเปล่า เมื่อเทียบกับแนวคิดในการทำงาน การใช้ชีวิตที่ว่า "ทุกอย่าง ทุกการกระทำของมนุษย์ มีเหตุผลและแรงขับดันเสมอ" นั่นเป็นสิ่งที่คนรอบข้างรู้สึกได้ถึงทุกอย่างที่เป็นผลลัพธ์ออกไป
คนใกล้ชิดให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า มันไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะ ที่จะคิดได้อย่างนี้ บางทีก็เป็นเรื่องของความรู้สึกเท่านั้น
ผมเห็นด้วยกับเธอบางส่วน แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจหลักคิดของเธอเองก็ตาม
ผู้หญิง มักจะมีอะไรให้เราแปลกใจเสมอ อย่างเช่น เมื่อเริ่มต้นในความสัมพันธ์ เมื่อผมถามว่า อยากให้ผมทำอะไรสักอย่างให้เธอไหม?? เธอตอบทันทีว่าไม่ เพราะเธอเกรงใจ
ด้วยความเคารพ ผมหยุดอย่างที่เธอต้องการ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอว่า ผมใจไม้ไส้ระกำ ไม่เข้าใจ และไม่เห็นใจเธอเลย
คำติติงบอกผมว่า บางเรื่องผมต้องปล่อยให้มุมของอารมณ์เป็นตัวชี้ทางเราบ้าง ผมแย้งเธอว่า อารมณ์บนสัณชาตญาณ และความเสี่ยงดอกหรือ
หยุดแค่นี้ก่อน เพราะผมว่ามันคงยังไม่มีข้อสรุปในเร็ววัน และผมคงไม่ใช่คนแรกที่เปิดประเด็นนี้ มองให้กว้างกว่าความสัมพันธ์ของคน ในเรื่องงานละ ใช่เนื้อหาเดียวกันหรือไม่
ครั้งหนึ่งในชั้นเรียนวิชาการตลาด กลุ่มของเราตั้งใจจะทำแผนธุรกิจเกี่ยวกับรถแท็กซี่ ที่มีระบบนำทางและบริการอัตโนมัติ ผมเค้นหัวอยู่หลายวันจนได้ชื่อว่า MITR (Metropolitan Intelligent Taxi Reservation) ชื่อภาษาไทยฟังดูก็อบอุ่นดีนะเนี่ย "มิตร"
เมื่อนำเสนอให้กับกลุ่ม ทุกคนส่ายหัวอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย สุดท้ายจบด้วยชื่อเรียบง่ายของพี่ที่เป็นสถาปนิก Red Cab (Cab ศัพท์แสลงอเมริกันที่เรียกแท็กซี่) อืม ผมเข้าท่ากว่าไอ้ชื่อเมื่อกี้ตั้งเยอะ
อันนี้เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้คิดว่า บางอาชีพ อารมณ์ก็สำคัญมาก ทั้งศิลปิน ครีเอทีฟ นักแสดง แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องของเหตุผลจะไม่สำคัญ ยิ่งถ้าคุณเป็นวิศวกร นักบัญชี นักการเงิน หรือผู้บริหาร เรื่องหลักการเหตุผลเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ
ความยากอยู่ที่ว่า เราจะจัดการกับเรื่องทั้งสองอย่างนี้ ในคนๆ เดียวได้อย่างไร ซึ่งย้อนไปถึงพัฒนาการของสมองทั้งสองด้านตั้งแต่เด็กด้วย งานอดิเรก หรือ การเล่นเกมส์ ก็คงจะช่วยได้บ้าง
อยู่ที่เราแล้วละครับ ว่าจะเลือกให้เกิดสมดุลของทั้งสองฝั่ง หรือจะเน้นให้เชี่ยวชาญอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลย ทั้งสองทางเลือกก็มีต้นทุนและสิ่งที่ต้องจ่ายออกไปเช่นกัน
แต่ถ้าถามผม เลี้ยงไว้ทั้งสองอย่างดีกว่าครับ เพราะชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่อะไรเพียงอย่างเดียว เปิดทางให้กับชีวิตหลายๆ ทางจะดีกว่าครับ
November 24, 2009
มองมุมเหม่ง > นิทานก่อนนอน (Bed Time Story)
เทวดานางฟ้า
บินมาอวยพรนอนฝันดี
เติบใหญ่ใจงดงาม
********************
ถ้าพูดถึงการเล่านิทานก่อนนอนแล้ว ไม่แน่ใจว่าเด็กสมัยนี้จะรู้เรื่องกันบ้างหรือเปล่า เพราะว่าเป็นความบันเทิงแบบดั้งเดิมที่พ่ายแพ้ให้แก่ทีวี กระทั่งถึงอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีความพยายามของพ่อแม่ยุคใหม่ และผลการวิจัยว่าสามารถทำให้เด็กเล็ก (ตั้งแต่ในท้องจนกระทั่ง 6 ขวบ) ได้มีโอกาสสัมผัสคำว่า “อัจฉริยะ” กับเขาบ้าง
ผลการวิจัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ความเข้าใจเดิมที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังก่อนนอน เพื่อให้ลูกๆ ได้ซึมซับการใช้ภาษา สร้างเสริมจินตนาการนั้น อาจจะยังไม่ "ดี" พออย่างที่คิด
กลุ่มนักวิจัยจาก UCLA แนะนำว่า พ่อแม่สามารถพัฒนาลูกๆ ได้มากกว่านั้น โดยการที่ให้ลูกๆ ได้มีส่วนร่วมในการพูดคุยกับพ่อแม่ด้วย ซึ่งจะทำให้พัฒนาการของเขาเร็วขึ้นกว่าเดิม
งั้นเราลองมาดูกันไหมครับ ว่าจะทำอย่างไรกันได้บ้าง เริ่มจากนิทานทั่วๆ ไป เช่น เทพนิยายกริมส์ (หนูน้อยหมวกแดง, ซินเดอเรลล่า, สโนว์ไวท์) หรือ เอาแบบไทยๆ ก็ได้ (ถ้าพ่อแม่ยังพอจำได้อยู่) เช่น โสนน้อยเรือนงาม, ปลาบู่ทอง
เมื่อเราเล่าไปแล้ว อาจจะหยุดเป็นระยะ แล้วลองตั้งคำถามเพื่อสอดแทรกแนวคิดอื่นๆ หรือดูความเข้าใจของเขา เช่น
- "เราคิดว่าหนูน้อยหมวกแดง เดินไปในป่าคนเดียวจะดีไหมคะ" (ระมัดระวังในการเดินทาง)
- "สโนว์ไวท์ รับแอปเปิ้ลจากคนแปลกหน้าได้หรือเปล่าเอ่ย" (รับของจากคนแปลกหน้า)
การที่เราอ้างอิงจากนิทานที่มีอยู่แล้ว ก็สะดวกสำหรับพ่อแม่ และดึงความสนใจได้ดีกว่าเพราะเป็นสิ่งที่ "รู้ๆ" กันแล้ว แต่กรณีถัดมา เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่ "แนว" และมีพลังจินตนาการเหลือเฟือ โดยนิทานที่เล่านั้นจะแต่งขึ้นมาเอง อาจจะเป็นเรื่องหลุดโลก แฟนตาซี หรือ พ่อกับแม่นำเรื่องราวในชีวิตประจำวันมาผูกเรื่องเล่าเป็นนิทานให้ลูกฟัง เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจการใช้ชีวิตและโลกของผู้ใหญ่มากขึ้น โดยอาจลดทอนให้เรียบง่ายแต่ยังคงไว้ซึ่งจินตนการที่ต้องการ
หรือจะท้าทายกว่านั้น ให้การเล่านิทานของเรา เป็นเกมส์อีกอย่างหนึ่งระหว่างพ่อแม่และลูกก่อนนอน เช่น ให้ลูกกำหนดคำขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วให้พ่อแม่ผูกเป็นเรื่องขึ้นมา โดยให้เขาได้มีส่วนร่วมในการกำหนด "ชะตากรรม" ของเรื่องนี้ด้วย ซึ่ง ก็มีหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นหนังสือ "เบสท์เซลล์เลอร์" ไปในที่สุด เช่นเรื่อง "ปิ๊ปปี้ ถุงเท้ายาว" (Pippi Longstocking) ของ แอสทริด ลินด์เทรน ที่มียอดจำหน่ายกว่า 15 ล้านเล่ม หรือ "ช้างน้อย บาบาร์" (Babar The Elephant) ของ เซซิล เดอบรันฮอฟฟ์ ที่กลายเป็นภาพยนต์ในที่สุด สดกว่านั้น ก็กรณีของ ไคลฟ์ วู้ดดอล ที่เขียนนิทานก่อนนอนเพื่อเล่าให้ลูกฟัง เรื่อง "บินสุ่ฝัน" (One for Sorrow, Two for Joy) ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนกพันธุ์ต่างๆ จนติดอันดับหนังสือขายดีของอเมซอน และตอนนี้ไปรอเป็นหนังของวอลต์ ดิสนีย์ ด้วยราคาลิขสิทธิ์ 1 ล้านเหรียญแล้ว
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็เพื่อพัฒนาการของลูกเรา ที่พ่อแม่ต้องทุ่มเทและเอาใจใส่ ปัญหาอย่างเดียวที่นึกออกตอนนี้ก็คือ...
นิทานสนุกซะจนไม่ได้นอนกันทั้งพ่อแม่ลูกก็เท่านั้น
November 11, 2009
เป็นเรื่อง > หลงรักเลขาฯ (Fall In Love with My Secretary)
"สวัสดีค่ะ เจ้านาย วันนี้มีประชุมพร้อมมื้อเช้าที่โรงแรมคอนราดนะคะ ถ้าไม่ออกจากบ้านก่อน 7 โมง จะมาไม่ทัน 8 โมงครึ่งนะคะ"
"อืมๆๆ ขอบใจมาก อิส"
*********************************************
ผลการประชุมเป็นไปด้วยดี หลังการประชุมประมาณ 10 นาที เสียงโทรศัพท์ดังอีกครั้ง
"เจ้านายคะ ระหว่างที่ประชุม มีโทรศัพท์โทรมา 3 สายค่ะ สายแรก คุณผู้หญิงโทรมาเตือนเรื่องดินเนอร์เย็นนี้ ดิฉันจองโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ ที่โรงแรมมาริออท สายที่สอง คุณไมเคิล นัดประชุมวันศุกร์นี้ เช็คตารางแล้ว นายไม่ว่างค่ะ แต่สรุปว่า เลื่อนเป็นวันจันทร์หน้าตอนเช้าแทน ส่วนสายสุดท้าย คุณริชาร์ดโทรมาถามว่าได้รับเอกสารที่ส่งมาทางอีเมล์หรือยัง ดิฉันคอนเฟิร์มไปแล้วค่ะ ว่าได้รับเรียบร้อย"
"ดีมาก อิส เดี๋ยวผมจะเข้าออฟฟิศแล้ว แต่ช่วยส่งรถไปรับลูกผมที่โรงเรียนด้วยนะ"
"โทรติดต่อ ให้แท็กซี่ไปรับเรียบร้อยตามที่นายสั่งไว้แล้วคะ"
*********************************************
ที่ทำงาน หลังจากประชุมกับทีมฝ่ายขาย ผมกดปุ่มโทรภายในถึงอิสอีกครั้ง
"วันนี้มีเมล์อะไรด่วนไหม"
"35 เมล์หลังจากกรองสแปม (อีเมล์ขยะ) ไปแล้วค่ะ 30 เมล์เพื่อทราบ 5 เมล์จากสำนักงานใหญ่และสาขาค่ะ จะให้อ่านเมล์ด่วนก่อนไหมค่ะ"
"อืม เอาเลย"
*********************************************
คืนนั้น หลังมื้อเย็นที่โรงแรม ผมกลับมาบ้าน มึนๆ นิดหน่อย ถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ แวะชั่งน้ำหนักตัวที่หน้าห้องน้ำ ระหว่างที่รอน้ำให้เต็มอ่าง เสียงอิสดังขึ้นผ่านโทรศัพท์ภายใน
"นายค่ะ ขอโทษที่รบกวนค่ะ ตอนนี้น้ำหนักนายเริ่มเพิ่มขึ้นแล้วนะคะ ระดับน้ำตาลก็สูงกว่าเกณฑ์แล้ว ต้องระวังนิดนึงนะคะ แล้วจะให้ดิฉันนัดคุณหมอเพื่อตรวจสุขภาพประจำเดือนหรือเปล่า ตอนนี้ทั้งนายและคุณหมอเดวิดว่างพรุ่งนี้ตอนเย็น จะให้นัดเลยไหมคะ"
"เหรอ เอาสิ ดีเหมือนกัน"
"อ้อ อีกเรื่องค่ะ พรุ่งนี้วันเกิดคุณแองเจลล่า นายจะให้เตรียมอะไรไหมคะ"
"อะไรดีละ"
"ปีที่แล้วเราส่งช่อดอกไม้ไปคะ ปีนี้ดิฉันคิดว่าเป็นกระเช้าผลไม้ดีไหม เพราะนัดทานข้าวคราวที่แล้ว เธอบอกว่าเธอเป็นมังสวิรัติคะ"
"เพอร์เฟคที่สุดเลย อิส คุณนี่เยี่ยมจริงๆ"
*********************************************
ผมได้อิสมาทำงานกับผมราวๆ 3 ปีแล้ว เทียบกับสิ่งที่เธอดูแลผม ก็นับว่าไม่แพงเลยกับค่าใช้จ่ายของเธอ กับงานแทบจะ 24 ชั่วโมงนี้ คุณคงเห็นแล้วละสิว่า เธอดูแลผมดีแค่ไหน เธอดูแลผมตั้งแต่ "ก่อน" ตื่นนอน จนกระทั่งหัวถึงหมอนอีกครั้ง ตั้งแต่เรื่องส่วนตัว จนกระทั่งเรื่องงาน เรื่องสุขภาพ จนถึงความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ประสิทธิภาพ และคุณภาพชีวิตผมดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แม้กระทั่งรายละเอียดของผมบางอย่างภรรยาผมยังจำไม่ได้เลย
นอกจากนี้ เธอยังดูแลเผื่อแผ่ไปยังภรรยา และลูกๆ ผมในบางเรื่องด้วย แม้ว่าจะต้องใช้เวลา และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นก็ตาม
ผมไม่รู้ว่าเธอจะคิดกับครอบครัวของเราอย่างไร เพราะเธอไม่เคยที่บ่น หรือเหนื่อยกับงานที่ได้รับไปเลย ผมเริ่มผูกพันกับเธอมากขึ้น มากขึ้นจนบางครั้ง ผมเองก็กลัวขึ้นมา
กลัวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเราจะมากไปกว่าการเป็นเจ้านายและเลขา
ถ้าไม่ติดว่า "อิส" เธอเป็นแค่ "หุ่นยนต์" เท่านั้น
*********************************************
จินตนาการเรื่องสั้นข้างต้น เกิดขึ้นในวันหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า เทคโนโลยีในปัจจุบันมันสามารถที่จะช่วยเราบริหารจัดการงานต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น อิส (IS: Intelligent Secretary) เป็นระบบที่ผมคาดว่าจะเป็นจริงได้ในอนาคต
บนเทคโนโลยีปัจจุบัน เรามีโปรแกรมที่จะแจ้งเตือนเมื่อมีอีเมล์ใหม่ๆ เข้ามา เรามีระบบแจ้งเตือนนัดหมายล่วงหน้า เรามีระบบ voice recognition ที่สามารถจดจำและแยกแยะเสียงต่างๆ ได้ ระบบอ่านเอกสารเป็นเสียงคน พร้อมกับเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย หรือระบบ Unified Communication System ที่เชื่อมโยงระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ทั้งโทรศัพท์ อีเมล์ ฯลฯ จนไปถึงระบบการตรวจวัดสุขภาพผ่านเครื่องมือ หรือเซนเซอร์ในบ้าน เป็นต้น
ผมจินตนการว่า ถ้าทุกอย่างถูกรวมเข้าด้วยกันกับชีวิตประจำวันดังว่า "อิส" อาจจะเริ่มด้วยระบบเสียงที่สามารถสื่อสารกับเจ้าของผ่านโทรศัพท์แบบต่างๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาต่อมาเป็นหุ่นยนต์แบบง่ายๆ หรือสุดท้ายเป็นหุ่นที่เหมือน "คน" จริงๆ ตามภาพยนต์หรือนิยายวิทยาศาสตร์ที่คุ้นเคย
ถึงเวลานั้นแล้ว ปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีแล้วละ
อยู่ที่ว่า "อิส" จะรู้สึกอย่างไรกับนายของหล่อนก็เท่านั้น
November 6, 2009
มองมุมเหม่ง > คนที่ใช่ ในที่ที่ถูกต้อง (The Right Man in The Right Place)
ถ้าต้องลงมาอยู่ในน้ำ
สู้เต่าน้อยมิได้
*******************
เร็วๆ นี้ได้มีโอกาสพบรุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันนาน นอกจากสารทุกข์สุกดิบแล้ว ได้แลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องงาน ซึ่งหน่วยงานใหม่ที่พี่เขาต้องย้ายไปดูแลนั้น มีทีมงานเหลือเพียง 4-5 คน กับสินค้าต้นน้ำที่มีลักษณะเฉพาะกลุ่ม ลูกค้ามีไม่กี่ราย ซ้ำแล้วสินค้าเองก็ได้พัฒนามาถึงจุดที่เรียกได้ว่า ถ้าจะไปต่อกว่านี้ก็ต้องเปลี่ยนเทคโนโลยีเลยทีเดียว
เมื่อเทียบกับงานเดิม แม้ว่าจะตำแหน่งเล็กกว่า แต่มีสินค้าหลากหลาย ได้เจอลูกค้ามากมาย อาจจะดูวุ่นวายกว่า แต่ก็สนุกไม่น้อย เอาละ รายได้มากกว่าเดิม งานยุ่งน้อยลง เทียบเป็นสัดส่วนแล้วน่าจะพอใจ แม้ว่าความมันส์จะหายไปบ้างก็ตาม
พี่เขาก็ว่า ดีเหมือนกัน งานน้อยเลยมีเวลากลับมามองทีมงานที่ทำอยู่ อยากจะพัฒนาให้ดีกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่า เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยอดทน มักจะคิดการใหญ่กันเกินตัว แล้วก็มั่นใจตัวเองสูง
ซึ่งประเด็นนี้ ก็เห็นด้วย แต่จะว่าไป ต้องยอมรับว่า สิ่งแวดล้อมที่เขาโตมาเป็นแบบนี้จริงๆ ถามว่า วันนี้มีสักกี่คนที่จะไปห้องสมุดแล้วค่อยๆ ละเลียดหนังสือทีละเล่ม เปิดเทียบแล้วจด (หรือก็อปปี้) ทุกวันนี้ แม้กระทั่งผมเอง สงสัยอะไรก็เปิดคอม ถามพี่กูรู แปปเดียวคำตอบมีเป็นร้อยๆ หน้า ก็อปกันไปแล้วก็ปรับนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นผลงานเราแล้ว ถูกผิดไม่ต้องถาม เอามาจากเว็บ เชื่อถือได้แน่นอน
ก็เขาโตมากับเทคโนโลยีแบบนี้ จะไม่ให้ใจร้อนได้ไง ถ้าช้านัก ไม่จับเปลี่ยนซีพียู ก็ให้พ่อไปเพิ่มสปีดเน็ตให้แรงขึ้นก็ได้ซะงั้น ประกอบกับบ้านเราไม่เน้นเนื้อหา แต่เน้นรูปแบบ เน้นปริญญา วันนี้ปริญญาโทเกลื่อนไปหมด ถามใครต่อใครก็จบ MBA ฟังดูเมืองไทยน่าจะยิ่งใหญ่กว่านี้ แต่ว่าคุณภาพมันอยู่ตรงไหน หลายๆ คนได้ปริญญาโทมา ยังไม่รู้เลยว่ามันจะมีผลบวก หรือจะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเราให้ดีขึ้นอย่างไร แต่จะว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะจบแค่ปริญญาตรี วันนี้ก็อ้างว้างแล้ว เพราะสังคมผลักดันกันไปเอง ทำให้เรียนจบนึกอะไรไม่ออก ก็ไปเรียนพิเศษต่อเพื่อรอปริญญาโท
ดังนั้นแล้ว คนรุ่นกลางๆ อย่างเราต้องเข้าใจสิ่งที่เขาโต เขาเป็นมา แล้วมาฝึกเขาให้ทำงานกันให้ได้ดีกว่าครับ
อย่างแรกเลย ให้แยกคนที่ไฟแรง กับคนที่เรื่อยเฉื่อยออกจากกัน เพราะคนที่ไฟแรงส่วนหนึ่ง เขาจะมี (หรือพยายามที่จะมี) เป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน ว่าต่อไปจะเติบโตอย่างไร ในสาขาไหน แล้วต้องทำอะไรบ้าง กลุ่มนี้ต้องคุยกับเขาตรงๆ มอบงานที่ท้าทาย และเป็นผู้นำความคิดเขาให้ได้ เพราะเขาเองก็มองหาคนที่จะเป็นต้นแบบ หรือผู้นำเขาเช่นกัน ถ้าเราไม่สามารถทำให้เขายอมรับได้แล้ว ถ้าไม่ลาออก ก็จะทำงานแบบซังกะตาย รอโอกาสบริษัทอื่นมาสอยไปซะ
ส่วนอีกพวกนั้น ต้องลองคุยกันก่อน ว่าที่ทำงานเรื่อยเฉื่อยอย่างนี้ เพราะจุดหมายหลักในชีวิตอาจจะเป็นเรื่องอื่นๆ เช่น มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเวลาให้กับงานอดิเรก อื่นๆ อีกมากมาย งานที่ทำก็แค่พอ "สอบผ่าน" รับเงินเดือนไปเป็นเดือนๆ เท่านั้น ถ้าอย่างนั้นแล้ว หัวหน้าต้องอธิบายให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งมันเชื่อมโยงอยู่ การประสบความสำเร็จในการงาน ก็สามารถส่งเสริมเป้าหมายหลักของเขาได้เช่นกัน หรือบางทีเอง เขาอาจจะเป็น "ยักษ์" ที่หลับอยู่ก็ได้
แต่ถ้าทั้งปั้น ทั้งปั่นกันไม่ขึ้นแล้ว และบริษัทไม่มีโครงการให้ไปอยู่บ้านให้เต็มอุ่นกับครอบครัว ก็ให้เขาทำตรงนั้นให้ดีที่สุดไป ในเนื้องานที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะในเมื่อไม่เป็นบวก ก็อย่าทำตัวเป็นภาระละกัน
นอกจากเรื่องคนแล้ว อีกข้อสังเกตหนึ่งที่คุยกับพี่เขาคือ ลักษณะของงาน หรือของบริษัทนั้น มันเอื้อต่อคนเก่งๆ หรือเปล่า เพราะถ้าเป็นงานหรือสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมบริษัท ที่พวกดาวรุ่งคิดว่าไม่สนุก ไม่ท้าทายแล้ว สุดท้าย เขาก็จะเบื่อและพาลหมดไฟไปเสีียเปล่า คนเป็นหัวหน้าก็ต้องค้นหา หรือ สร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้กับเนื้องานตรงนี้เพื่อให้เขาได้เต็มที่กับมัน แต่ต้องเข้าใจสภาพรวมของบริษัทด้วย ถ้าวัฒนธรรมเป็นอย่างนี้แล้ว สุดท้ายเขาก็ต้องจากไปอยู่ดี
ดังนั้นแล้ว ในฐานะหัวหน้า แค่คนที่ "ใช่" ยังไม่พอครับ ที่ตรงนั้นมัน "ถูกต้อง" ด้วยหรือเปล่าเช่นกัน
October 31, 2009
มองมุมเหม่ง > ขอขึ้นรถไฟฟ้าด้วยคน (From BTS Love Story to Copy Culture)

ฉันชอบใจก็อปใส่ไปให้
ไม่ต้องมาขอบใจ
**********************
วันนี้หนังเรื่อง "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ" ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาทแล้ว ประสาคนชอบดูหนังไทย ประทับใจทีมงานผู้กำกับและ GTH ก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ
ทั้งเรื่อยย่อ เนื้อหา ความเป็นมา ดารา ถ้าสนใจก็หาได้นะครับ มีเกลื่อนกลาดเต็มเว็ปไปหมด ที่วิกิพีเดียก็มีคนมีน้ำใจจัดการมาให้ (ไม่รู้ว่าใช่ทีมพีอาร์ของผู้สร้างหรือเปล่า เพราะเดี๋ยวนี้ทำหนัง ไม่ใช่แค่งานสร้างอย่างเดียว ต้องคิดถึงเรื่องการตลาดทั้งก่อนและหลังด้วย)
ดูหนังแล้ว ผมสนใจที่จะอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับดาราสมทบ คนที่เล่นบทพ่อและแม่ของนางเอก "เหมยลี่" (แสดงโดย คริส หอวัง - ชื่อฝรั่ง นามสกุลไทย แต่หน้า หม๊วย หมวย) บอกตรงๆ ว่า บางฉากออกมา ตัวละครหลักถึงกับ "หมอง" ก็ว่าได้ เลยพยายามค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่ก็ไม่เจอ แม้กระทั่งเว็บอย่างเป็นทางการของหนังเรื่องนี้เองก็ไม่มีรายละเอียดให้ครับ ต่างกับหนังต่างประเทศหลายๆ เรื่องที่เขามักจะให้เกียรติทีมงานทุกฝ่าย จะมีข้อมูลให้อย่างครบถ้วน รายชื่อเด็กยกไฟ เขายังให้เครดิตเลย
สิ่งที่ต้องการหากลับไม่เจอ (ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะหาอะไรไม่เจอในโลกอินเตอร์เน็ตใบนี้) แต่ผมกลับพบว่า มีการพูดถึง "มาม่า" ในหนังอย่างมากมาย (2 ครั้ง ตอนแรกที่บ้านพระเอก พระเอกต้มให้นางเอกก่อนไปนั่งรถเที่ยวกัน และตอนที่ นางเอกอยู่บ้่านคนเดียวและพยายามต้มทานเอง)
ถ้าตัดประเด็นที่ว่า หนังเรื่องนี้ได้สปอนเซอร์หรือเปล่า (กลยุทธ์การ Tie In สินค้า - พยายามให้สินค้าเข้ามามีส่วนในหนังหรือละคร ให้เกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งของบท หรือของตัวเอก เพื่อให้คนดูให้ซึมซับไป เรียกว่าโฆษณาแฝงก็ได้ครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้ทำกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว) คนเขียนพยายามจะเชื่อมโยงตีความพฤติกรรมการกินมาม่าของนางเอกนั้น เกี่ยวข้องกับความอดทนในการรอของความรักที่จะเข้ามา เพราะมาม่าเขาให้รอ 3 นาที แต่นางเอกชอบกินเส้นกรอบๆ รอแค่ นาทีเดียว ซึ่งความรักมันใจร้อนกันไม่ได้
เม้ากันเว็บแตกเลยครับ ตื่นเต้นกับการตีความในนัยยะนี้กันใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วหลายๆ คนตอนเด็กๆ ก็ฉีกซองกินมาม่าเปล่าๆ กันเป็นขนมก็บ่อยไป
ครับ จะตีความกันอย่างไร นั่นไม่สำคัญ ผมว่าดีเสียอีก จะได้ฝึกให้มองอะไรให้ลึกกว่าที่เห็นบ้าง
แต่ที่สงสัยคือ ข้อความหรือบทวิเคราะห์ดังกล่าวนั้น ถูกก็อปปี้กันกระจายไปตามเว็บต่างๆ มากมาย เนื้อหา ตัวสะกดเดียวกันเด๊ะ โดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาเลย ผมเองคลิกๆ ดูหลายๆ ที่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนเขียนเรื่องนี้กันแน่ แต่งานคุณกระจายไปหมดแล้วครับ ขอดีใจและเสียใจในคราวเดียวกัน
สิ่งเหล่าีนี้บอกอะไรเราบ้างครับ
ในแง่บวกนั้น ทำให้เราได้เห็นถึงพลังของ Social Networking หรือเครือข่ายทางสังคม จากพื้นฐานของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ที่ทำให้เราอยากบอกต่อ "สิ่งดีๆ " (ในความคิดของเรา) ให้กับคนรอบข้าง ซึ่งทุกวันนี้สินค้าหลายๆ รายก็พยายามที่จะสร้างประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้เช่นกัน
มีบวกแล้วก็ต้องมีลบ อย่างแรกเลย วัฒนธรรมการก็อปปี้กำลังจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ด้วยข้ออ้างที่ว่า "ฉันเห็นว่ามันดี ฉันเลยอยากบอกต่อ" บางคนถึงกับอ้างด้วยว่า "ต้องมาขอบคุณฉันด้วยซ้ำ อุตส่าห์โฆษณาให้ฟรีๆ นะเนี่ย" ซึ่งทำให้ผมไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกเรื่องลิขสิทธิ์มันจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ ไหม วันนี้คุณละเมิดแค่เนื้อหา บทความ แล้วต่อๆ ไปละครับ ความรู้สึกผิดถูกมันจะเหลือเท่าไร
อีกเรื่องคือ เรามักจะเอาตัวเราเองเป็นตัวตั้ง ในการ "ตัดสิน" ว่าคนอื่นๆ "ต้อง" รู้เรื่องนี้ เรื่องนั้น แล้วเราก็แค่ส่งต่อไปให้ แต่เราเคยถามเขาไหมครับ ว่าอยากได้ไหม หรือที่ส่งไปนะ ถ้าหากมีไวรัส หรืออะไรที่ทำให้เขาได้รับความเสียหาย อันเนื่องมาจากความประมาทของเราแล้ว มันคุ้มค่าไหม กับไมตรีที่ียื่นไปให้ คงจำกันได้นะครับ วิกฤตการณ์ไวรัสดังๆ ที่แฝงไปกับเมล์หรือรูป ก็ฉวยโอกาสจากแนวคิด "หวังดี" อย่างนี้เช่นกัน
อย่าให้เจตนาดีๆ ของเราต้องทำให้ความรู้สึกชั่วดีในเรื่องลิขสิทธิ์มันเลือนหายไป และเป็นเครื่องมือทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจนะครับ
October 28, 2009
มองมุมเหม่ง > อีก 30 วัน ฉันจะตาย (Die Another 30 Days)
เธอกับฉันต่างกันแค่ไหน
อยู่ที่ทำอะไร
********************
ชีวิตคนเรา มักจะมีช่วงเวลาที่ "ไม่รู้ว่าจะทำอะไร" เสมอๆ ผมได้ยินวลีเหล่านี้บ่อยๆ ในช่วงใกล้สิ้นปี หลายบริษัทจะกำหนดให้พนักงานใช้วันลาพักร้อนให้หมดไปพร้อมๆ กับวันส่งท้ายปีเก่า จะได้ไม่ค้างคากัน ในมุมของบริษัท วิธีนี้ก็ง่ายในการบริหารจัดการ แต่ส่วนใหญ่แล้ว พวกเรามักไม่ค่อยได้วางแผนกัน เผลออีกทีจะสิ้นปี ฝ่ายบุคคลก็มาเร่งให้ใช้ให้หมด มิฉะนั้นจะเสียของไปเปล่าๆ
ทีนี้แล้ว เดือนธันวาคมก็จะรับเคราะห์กันไปสิ ลากันให้จ้่าละหวั่น งานการไม่ต้องทำ ไม่สนใจว่าผลกระทบจะมากน้อยขนาดไหน เท่าที่ถามส่วนใหญ่ลาไปก็ "ไม่ีรู้ว่าจะทำอะไร อยู่บ้านเฉยๆ" เพียงเพราะ "ฉันไม่ต้องการเสียสิทธิ์" เท่านั้น แม้ว่าบางบริษัทจะให้เอาวันลาแลกเป็นค่าแรงแทน แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยม เพราะนอกจากจะเพิ่มงานทั้งฝ่ายบุคคล ฝ่ายการเงินแล้ว ก็จะมีพนักงานที่ไม่ยอมลาพัก ไม่ใช่ว่าขยันนะครับ แต่อู้งานในวันปกติเพื่อเก็บวันลาไปแลกเป็นเิงิน ซึ่งก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งเช่นกัน
การปลูกฝังเรื่องการวางแผนการทำงาน ก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ต้องรดน้ำพรวนดินกันต่อไป
อาการ "ไม่มีจุดหมาย" ดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะว่า ณ จุดเวลานั้น เราอาจจะต้องการพักผ่อน ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป หลัีงจากผ่านงานที่หนักมา หรือ เรายังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องทำอะไร ช่วงเวลานี้จะยาวหรือจะสั้นก็ตามแต่กรรมเก่าของแต่ละคน บางคนก็ปล่อยตัวเองให้เคว้งคว้างสุดๆ กันเป็นปี บางคนช่วงเวลานี้ก็สั้นๆ ต่างกันไป
แต่ถ้าสมมุติว่า "เวลาเรามีเหลือแค่นี้เองล่ะ ฉันจะทำอย่างไร" พล็อตแบบนี้ ใชักันบ่อยในหนังหลายเรื่องแล้ว เช่นหนังเรื่อง Ikigami (หรือในภาคการ์ตูนเรื่อง อิคิกามิ สารสั่งตาย) คือคนที่ได้รับจดหมายจากทางรัฐบาล แจ้งว่าจะมีชีวิตเหลือ 24 ชั่วโมงก่อนที่จะตายด้วยยาพิษระเบิดเวลาที่ฉีดไว้ตอนเกิด แล้วก็มาดูว่าแต่ละคนจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างไร สนุกดีครับ
ดูหนังแล้ัว ลองเอามาคิดเล่นๆ กันไหม เอาสัก 30 วันละกัน ไม่มากไม่น้อย แค่ปฏิทินแผ่นเดียว วิธีคิด การกระทำเราจะเป็นอย่างไร เชื่ีอได้เลยว่า ประโยคที่เราถกกันอยู่ีนั้นจะหายไปในพริบตา แล้วก็จะกลับกลายเป็นว่า "โหย..ฉันยังมีอะไรที่ต้องทำโน่น ทำนี่อีกเยอะเลย ยังไม่พร้อมที่จะตายหรอก บลา บลา บลา"
เห็นไหมครับ เมื่อกี้ยัง "ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลย" แค่แปปเดียว รายการยาวกว่าหางว่าวอีก
ลองถามตัวเองดูนะครับ ว่า ถ้าเป็นเราแล้ว
1) อะไรที่เราอยากทำที่สุด
2) อะไรที่ต้องทำ แต่เราผลัดวันประกันพรุ่งมาเรื่อยๆ เขียนออกมาแล้ว เราอาจจะพบว่า ที่ผ่านมานั้น เราอาจทำ "สิ่งสำคัญบางอย่าง" หล่นหายไปในระหว่างการหายใจในแต่ละวันก็เป็นได้
3) สุดท้ายที่นึกออก แต่คงไม่ท้ายสุด เราอยากจะให้คนที่อยุ่ข้างหลังเรา "จดจำ" เราอย่างไร
ผมลองคิดเล่นๆ ของผมเอง อย่างแรก ผมคงต้องเตรียมตัวที่จะ "ตาย" (โดยไม่ให้คนอื่นเดือนร้อนกันมากไปกว่าการฝ่าการจราจรมางานศพผม แถมด้วยความดีใจที่เขาคนนั้นจะเจอ "คนอื่นๆ" ที่ไม่ได้พบกันนานมาก) โดยขอให้คนที่ผมรู้จักและนับถือ เขียนถึงผมในมุมมองของพวกเขา อย่างน้อย ผมก็อยากมีโอกาสได้อ่านหนังสืองานศพตัวเองว่า คนอื่นเขาจะรู้สึกกับเราอย่างไร ซึ่งเท่าที่รู้ คนที่ตายไปแล้วหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้อ่านกัน (หรือได้อ่านตอนตายไปแล้ว แต่ไม่ต้องมาบอกผมนะครับ บรื๋อออ)
แล้วผมคงร่างรายการที่อยากทำ ในวัยที่เด็กกว่านี้รายการส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องคึกคะนอง แต่ปูนนี้แล้ว คงเป็นการ "ให้" หรือทำดีกับคนอื่นๆ ให้มากกว่านี้ แม้ว่าเรายังพิสูจน์เรื่องโลกนี้ โลกหน้า กรรมเวร กันไม่ได้ชัดเจน แต่ทำไว้มันก็สบายใจ ณ ปัจจุบันนี้เลย
แล้วคุณล่ะ คิดว่าถ้าเหลือแค่ 30 วัน จะทำอะไรกันบ้างครับ???
มองมุมเหม่ง > นิ้วที่ยาวไม่เท่ากัน (Yes, We Are Different !!)
เหมือนเช่นเรากับเขาที่เป็น
แตกต่างแต่ล้วนดี
*************************
ผมเป็นคนหนึ่งที่โตมาในครอบครัวที่มีสมาชิกมากมาย ตามแบบฉบับของครอบครัวคนจีนอพยพยุคที่ 2 ยุคที่อยู่รวมกับเป็นครอบครัวใหญ่ในบ้านเดียวกันหลายครอบครัว มีลูกหลานหลายคน และพ่อแม่ของพวกเราได้รับการศึกษาดีกว่ารุ่นบุกเบิก ใช้เสื่อแทนที่นอนเช่นรุ่นปู่รุ่นย่า ประมาณว่าเรื่องลอดลายมังกรที่เคยฉายไปนานแล้วก็ได้ครับ คล้ายกับครอบครัวคนไทยสมัยก่อนเหมือนกัน
มองในมุมหนึ่ง ก็ดูอบอุ่นและดีในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว
แต่อย่างหนึ่งที่ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงจะมีประสบการณ์ร่วมคือ "การเทียบลูกเขาลูกเรา" ครับ
ถ้ายังนึกไม่ออกจะดูเหตุการณ์นี้ประกอบก็ได้ครับ (นามสมมติทั้งนั้น)
แม่ 1) "เนี่ยผลสอบของตาโก้ ออกมาแล้ว แย่จัง ได้เกรด 3 มาตัวเดียว ที่เหลือ 4 หมด แล้วของตาแม็คละ เป็นไงบ้าง"
แม่ 2) "เอ่อ... ก็พอได้นะ ได้เกรด 3 มาตัวเดียวเหมือนกัน ที่เหลือเห็นแต่ 2 กับ 1 นะ สงสัยครูคงเขียนผิด แหะ แหะ"
แม่ 1) "ต๊าย ทำไมเป็นยังงี้เนี่ย เรียนห้องเดียวกันแท้ๆ แฟนเธอก็ออกจะเก่ง เธอต้องเข้มงวดหน่อยนะ จะให้ชั้นช่วยอะไรก็บอก เรามันคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจ..." (บลา บลา บลา)
พอนึกได้แล้วใช่ไหมครับ นอกจากเรื่องเรียนแล้ว ก็จะเป็นเรื่องอื่นๆ เช่น การกินการอยู่ สุขภาพ พัฒนาการทางร่างกาย จิปาถะครับ โดนกันถ้วนหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเด็กๆ อย่างเราที่ต้องมารองรับความคาดหวังจากผู้ใหญ่เหล่านี้ บนเหตุผลของ "ความหวังดี" ที่ลึกๆ แล้วต้องยอมรับว่ามีความสะใจ แฝงอยู่อย่างไม่รู้ตัวก็ตาม
จะมากจะน้อยขึ้นกับความใกล้ชิดของตัวพ่อตัวแม่ และวัยของเด็กด้วยครับ วัยเดียวกันก็ซวยหน่อย ความแตกต่างไม่ค่อยมี ซึ่งไปสร้างความกดดันและสงสัยให้เด็กแท้ๆ ว่า กูจะเป็นแบบนี้ไม่ได้หรือไงวะ ตอนออกมาก็มาจากคนละมดลูกนี่หว่า (ตอบอย่างนี้ อนาคตต้องแพทย์แน่นอน)
ผู้ใหญ่เหล่านี้เองคงไม่ได้จะตั้งใจจะซ้ำเติมกันขนาดนั้น บ้างก็พูดไปเรื่อยเปื่อย ตามชุดสนทนาสำเร็จรูป แต่รูปแบบสังคมเราเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งเด็กในตอนนั้นก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในตอนนี้ ก็เริ่มกลับมาตั้งคำถามและส่งเสียงดังๆ กันบ้างแล้ว
ไม่อย่างนั้น เราคงไม่เห็นโรงเรียนทางเลือกแบบต่างๆ หรือ วิธีการสอนแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง ให้เรียนรู้กันเองเหล่านี้หรอกครับ นี่ก็เป็นทางออกอย่างหนึ่ง
แต่สำหรับเด็กหรือตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า "ลูก" ของเราเอง เราจะสอนเขาอย่างไรดี
อย่างแรก ต้องบอกเขาว่า คนแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ไม่มีใครที่เหมือนกัน แต่ทุกๆ คนสามารถ "เลือก" ที่จะเป็นได้ บางคนอยากเป็นตำรวจ อยากเป็นหมอ อยากเป็นวิศวะ หรืออยากเป็นยามก็แล้วแต่ความรักในดวงใจของแต่ละคน
ถัดมา คนเป็นพ่อแม่ต้องยอมรับด้วยนะครับ ว่าปัจจุบัน ชีวิตเราพบการเปรียบเทียบ การแข่งขันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่ปฏิสนธิ จนกระทั่งการจองที่นอนบนเชิงตะกอน เราจะไปแก้ตัว หรือแก้ต่างให้ลูกเราไม่ได้ตลอดหรอกครับ เงาเรายังต้องพักตอนพระอาทิตย์ตกดินเลย
เมื่อยอมรับแล้วว่า การแข่งขันการเปรียบเทียบมันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง ก็สอนให้เด็กเขาเข้าใจสิครับ ให้เขาเห็น "ด้านบวก" ของการเปรียบเทียบว่า มันเป็นมาตรวัดอย่างหนึ่งที่จะทำให้เขาพัฒนาขึ้น ทำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าเดิม ยอมรับว่าทุกอย่างมีแพ้ มีชนะ แพ้แล้วก็กลับไปฝึกฝนใหม่ ปรับปรุงวิธีการต่างๆ ให้ดี ให้ต่างออกไป ไม่จำเป็นต้องกลุ้่มใจ ทำหน้าย่นไม่สมกับวัย เครียดไปเปล่าๆ
อีกประเด็นที่สำคัญคือ สอนให้เขานอบน้อมที่จะรับฟังความคิดเห็น และคำวิจารณ์ สอนให้เขา "คิด" ว่าสิ่งที่ "คนพูด" พูดมานั้น เขามีความรู้ หรือประสบการณ์มากพอที่จะวิจารณ์หรือไม่ และ "เนื้อหา" ที่เขาพูดมันสมเหตุสมผล เชื่อถือได้หรือเปล่า เพราะทุกวันนี้ คำแนะนำบางอย่างก็ยิ่งกว่าแอปเปิ้ลพิษอีกนะครับ (อืม จะรู้ไหมหนอ ว่าพูดถึงเรื่อง สโนไวท์ แล้วสมัยนี้เขาจะยกตัวอย่างอะไรกันนะ)
ประกอบกับถ้าเราสอนเด็กๆ ให้เข้าใจและมองเรื่องเหล่านี้ในทาง "บวก" ด้วยภาษาหรือตัวอย่างง่ายๆ ก็ไม่ต้องกลัวแล้วละครับ ว่าคราวหน้าจะเศร้าใจว่าใครจะมาพูดอย่างไร
เพราะเขาได้รับภูิมิคุ้มกันที่ชื่อว่า "ปัญญา" และ "ความรัก" จากพวกเราไปแล้วไงครัีบ
October 26, 2009
มองมุมเหม่ง > รักเธอประเทศไทย (Don't Cry For Me, Thailand)

แม้เตือนก็เลือนไป
**********************
สุดสัปดาห์ยาวๆ ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าน่าจะมีความสุขตามอัตภาพ แต่พอจะพยายามติดตามข่าวสารบ้านเมืองให้ทันด้วยการอ่านข่าวย้อนหลัง พลันก็รู้สึกถึงความเศร้าที่เฝ้าเกาะกุมโดยไม่รู้สาเหตุ เหมือนกรรมเก่าที่วิ่งมาตามสายอินเตอร์เน็ต ลองอ่านดู เผื่อความเหงาเศร้าจะติดเชื้อแจกจ่ายไปยังผู้อ่านทุกท่านบ้าง
- บริษัทสิงคโปร์อาสา อบต. ตะกั่วป่า ขุดลอกตะกอนทรายปากแม่น้ำให้ฟรีไม่คิดมูลค่า (ของฟรีก็มีในโลกด้วย) ขอค่าแรงเป็นทรายที่ขุดได้แทน มีข่าวต่อเนื่องว่า ทรายดังกล่าวมีปริมาณซิลิกาออกไซด์สูงถึง 73.75% ซึ่งน้อยกว่าค่าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ที่ร้อยละ 75% (ตั้งเกือบ 2 เปอร์เซนต์) ทำให้สามารถส่งออกทรายดังกล่าวได้
- สิ่งที่บางคนแกล้งไม่รู้คือ / ซิลิกาออกไซด์ดังกล่าวสามารถสกัดเป็นสารซิลิกอน เพื่อให้เป็นวัตถุดิบในการทำสารกึ่งตัวนำ ในธุรกิจอิเลกทรอนิกส์ ราคาประมาณ 132,000 บาท/กก. หรือถ้าประมาณจากปริมาณทรายทั้งหมดที่ 21 ล้่าน ลบม. จะได้ซิลิกาประมาณ 336 ล้านกก. เป็นเงินคร่าวๆ 45 ล้านล้านบาท ต่อ (มติชน 25/10/52)
- นักวิเคราะห์ต่างชาติคาดราคาข้าวมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากสต๊อกข้าวของผู้ส่งออกรายใหญ่ในโลก 5 รายมีปริมาณลดลง ประกอบกับวาตภัยที่ีฟิลิปปินส์ทำให้ต้องนำเ้ข้าข้าว 2 ล้านตันเพื่อทดแทนผลิตผลที่ถูกทำลาย รวมทั้งคู่แข่งจากอินเดียก็ไม่มีข้่าวส่งออกเช่นกัน (เฮ เฮ ชาวนาไทยฝันหวาน)
- เรื่องน่าเศร้าเมื่อตื่นขึ้นมา / ราคาประกันจากรัฐบาล 10,000 บาทต่อตัน ราคารับซื้อหน้าโรงสีจากราคา 8,000 บาทเหลือเพียง 5,000 บาท เนื่องจากราคาที่ต่างประเทศรับซื้อปรับตัวลดลง (ทำไมถึงปรับตัวลดลงล่ะ?? โฮ โฮ ชาวนาไทยฝันเปียก)
- น่าเศร้ากว่านั้น / ราคาส่งออกเดิมอยู่ที่ 600 เหรียญต่อตัน (21,000 บาท) แต่พ่อค้าไทยตัดราคากันเองเหลือ 19,950 บาทต่อตัน ทำให้ลูกค้่าต่างชาติชลอการซื้อออกไปเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด (ประชาชาติธุรกิจ 22/10/52)
- สำนักข่าวต่างประเทศชื่อดัง ร่วมกับต่างชาิติปล่อยข่าวลืออัปมงคลทุบหุ้นวันที่ 14 ที่ผ่านมา โดยพบบัญชีต้ัองสงสัยจากบริษัทหลักทรัพย์ชื่อดังสัญชาติสิงคโปร์ พร้อมกับขบวนการคนไทยที่ร่วมมือกันทำำกำไรนับร้อยล้าน (คมชัดลึก)
อย่าเพิ่งเหนื่อยนะครับ ต่ออีกสักนิด
- สหภาพการรถไฟประท้วงหยุดเดินรถ จับประชาชนเป็นตัวประกัน (ทั้งที่ไม่ได้เสพยาบ้า) อ้างสาเหตุรถเก่า ไม่พร้อม แท้จริงต้องการต่อต้านการแปรรูปการรถไฟ เผยมีสินทรัพย์นับหมื่นล้าน (คมชัดลึก) แม้ว่าจะดำเนินการมาแล้วตั้ง 111 ปี มีรถจักรดีเซลเป็นที่แรกในเอเซีย ทั้งที่จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม พม่า ล้วนแล้วแต่ต้องมาูดูงานที่เมืองไทย แต่การเมืองและการโกงกินทำให้การรถไฟไม่ไปถึงไหน ทั้งที่ีมีศักยภาพที่จะผลิตหัวรถจักรไว้ใช้งานเองด้วยซ้ำ รวมถึงปัญหาขนาดราง 1.0 เมตรที่ไม่เป็นมาตรฐานสากลที่ 1.43 เมตร ทำให้หัวรถจักรบางคันมีอายุึถึง 48 ปี (ประชาชาติธุรกิจ)
- บิ๊กจิ๋วเผยหลังกลับจากกัมพูชา หลังคุย "ฮุนเซน" ราบรื่น ทั้งเขตแดนเขาพระวิหาร เรื่องขุดก๊าซและน้ำมัน ย้ำส่งเรื่องมาสองครั้งแล้ว สุเทพไม่สนใจ และเรื่องทักษิณ บอกทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม เมียฮุนเซนถึงกับร้องไห้เมื่อรู้ชะตากรรมตกอับต่างแดน บอกสร้างบ้านอย่างดีไว้รอต้อนรับแล้ว ย้ำจะเป็นเพื่อนไปตลอดกาล อภิสิทธ์ไม่เสียหน้า บอกแล้วแต่วิจารณญาณของฮุนเซนเอง (กรุงเทพธุรกิจ)
ครับนี่แค่ประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเท่านั้น เดี๋ยวนี้ความอดทนกับรายละเอียดข่าวพวกนี้ของผมต่ำลงไปมากทีเดียว แต่ว่าระดับความดัน และอะดรีนาลีนจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรงแทน
แต่เอาข่าวลดความเครียดไปหน่อยละกันครับ ไม่ใช่ข่าวมิยาบิซ้อนมอร์เตอร์ไซค์โจอี้บอย หรือว่า หลินปิงไล่เตะก้นแม่ แต่เป็น
เห็นภาพท่านในทีวี น้ำตาไหลโดยไม่ตั้งใจครับ ขอจงทรงพระเจริญเช่นกัน
รู้สึกกับข่าวที่ผมยกมาไหม ว่าเนื้อแท้แล้ว "คนไทย" เราทำ "คนไทย" กันเองทั้งนั้น ถ้าเราเข้มแข็ง เราสามัคคีแล้ว ใครจะมาทำอะไรเราไม่ได้หรอก แต่ทุกว้ันนี้เราไม่เคยจำถึงประวัิติศาสตร์ที่เกิดขึ้นกับเลยหรือ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2112 เราเสียกรุงเพราะคนไทยแตกแยก ชักศึกเข้าบ้านโดยพระยาจักรี ผู้กอบกู้เอกราชคือ พระนเรศวร ส่วนครั้งที่ 2 ปี 2310 เพราะคนไทยแตกแยกอีกเช่นกัน ผู้กอบกู้เอกราชคือ พระเจ้าตากสิน
เราผิดพลาดในเรื่องเดิมๆ 2 ครั้ง 2 คราแล้ว ครั้งที่ี 3 นี้ เราคาดหวังว่าใครจะมาเป็นผู้กอบกู้เอกราชละครับ
October 21, 2009
มองมุมเหม่ง > อารมณ์ กับ มุมมอง (Know Our Feeling)
เป็นทุกข์เพราะคนอื่นนั้นทำ
ไม่ใช่ความผิดฉัน
*************************
ถ้าพอมีเวลา อยากให้ลองสังเกตตัวเองเล่นๆ กันสักนิดนึงครับ ลองดูว่า เวลาที่เรา "อารมณ์ดี (เพราะสมหวัง)" นั้นเป็นอย่างไร แล้วตรงกันข้าม "อารมณ์เสีย (เพราะผิดหวัง)" มันออกอาการแบบไหน
คำตอบคงต่างกันออกไป ตามภูมิภาค ปูมหลัง และสีผิวของแต่ละคน แต่อย่างหนึ่งที่คล้ายกันคืออะไร ทราบไหมครับ
เวลาเรา "อารมณ์ดี" นั้น เรามักจะมองตัวเองเป็น "จุดศูนย์กลาง" แต่กลับกันเมื่อ "อารมณ์เสีย" นั้น เราโยนความผิดให้กับสิ่งต่างๆ รอบตัวแทนไงครับ
ขยายความอีกหน่อย เพราะเมื่ออารมณ์ดีแล้ว เรามักจะคิดถึงแต่ตัวเราเองก่อน เช่น ถ้าเราถูกหวย (ติ๊ต่างเหมือนคนส่วนใหญ่นะครับ ว่าถูกหวยแล้วจะอารมณ์ดี) เราจะใช้เงินยังไง จะฉลองอย่างไรดี จะไปช้อปปิ้งที่ไหน แล้วค่อยๆ คิดถึงเผื่อแผ่ไปยังคนอื่นๆ เมื่อเราได้รับความพึงพอใจจนล้นแล้ว
แต่ถ้าเราถูกหวยกินละครับ (ติ๊ต่างอีกเช่นกัน คงไม่มีใครอารมณ์ดีตอนนี้นะครับ) อาการเซ็งเริ่มมาเยี่ยมเยือน เราก็เริ่มโทษสิ่งอื่นๆ เช่น โทษคนจับรางวัล โทษต้นไม้ที่ไปขูดขอหวย (ทั้งๆ ที่ไปรบกวนมันแท้ๆ) โทษป้าข้างบ้านที่ช่วยตีเลขให้ ฯลฯ
เพราะว่าโดยกลไกทางจิตของเราเอง มักจะไม่ยอมรับ "ความผิดหวัง" ไงละครับ เรามักจะหาเรื่องโยนบาปให้กับสิ่งต่างๆ พร้อมทั้งสร้างเหตุผลเพื่อยืนยันกับตัวเองว่า "ตูไม่ผิด" นะโว้ย เป็นเพราะ ปัจจัยหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ต่างหากที่ทำให้ฉันต้องซวยอย่างนี้
หรือบางทีก็ปลอบใจตัวเองว่า เออนะดู นายเอ นางบี นายซี คนเหล่านี้ทั้งแย่ ทั้งซวยยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งกลายเป็นการเหยียดเขาเพื่อถีบตัวเราให้สูงขึ้นไปอีก
ตรงกันข้ามกับตอนที่เรา "สมหวัง" เลยนะครับ เหตุผลต่างๆ ที่สวยสดก็จะพรั่งพรูออกมาเช่นกัน เพื่อยืนยันว่า เรานั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ จริงๆ ดอกไม้ สายลมและแสงแดด ช่างงดงามจริงหนอ
แล้วถ้าเราลองคิด "กลับ" กันละครับ
เวลาที่เราอารมณ์ดี หรือ เราสมหวังอะไรก็ตาม เราลองมองคนอื่นๆ ก่อนดีไหมครับ มองว่าเราประสบความสำเร็จ หรือโชคดีนี่เพราะใคร เพราะอะไร แล้วก็ขอบคุณคนหรือสิ่งเหล่านั้นจากใจจริง
ในทางตรงกันข้าม เวลาที่เราผิดหวัง หรืออารมณ์เสียกับอะไรก็ตาม เราลองมองมาที่ "ตัวเอง" ก่อน วิเคราะห์ว่าสาเหตุที่ทำให้เราต้องผิดพลาดคืออะไร มองอย่างใจเป็นกลาง ผิดก็ยอมรับ แต่ต้องไม่ยอมแพ้ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป เป็นที่การตัดสินใจ ไม่ใช่โชคชะตาหรือว่าดวง
อยากให้ลองเปลี่ยนมุมมองกันบ้าง เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว ท่านจะ "อารมณ์ดี" กับ "ความสมหวัง" ที่จะเข้ามาครับ
มองมุมเหม่ง > อย่ากลัวที่จะจมน้ำตาย ถ้าท่านอยู่ในทะเลทราย (Don't Afraid to Drown If You're in Desert)
กินกันทั้งหมดรวมทั้งฉัน
ในท้องทะเลทราย
*************************
หัวข้อวันนี้หล่นมาโดยบังเอิญ ระหว่างการหารือกันเรื่องโครงการใหม่ๆ กับทีมงาน เรากำลังคิดกันว่า การนำเสนอสินค้าหรือบริการให้กับตลาดนั้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใหม่ๆ หรือไม่
ต้องยอมรับว่า สภาพการแข่งขันทุกวันนี้ บังคับให้พวกเราต้องทำงานให้มากและคิดกันให้ลึกซึ้งกว่าเดิม เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อ ผู้ขาย หรือคู่แข่งของเรา ต่างก็รู้เท่าทันหรือมากกว่า ในโลกที่ข่าวสารข้อมูลไหลบ่ากันอย่างท่วมท้น
แต่ท่ามกลางไต้ฝุ่นของการเปลี่ยนแปลง ก็มี "ต้นไม้" หลายต้นที่พยายามจะฝืน พยายามต้านทานและพยายามที่จะสยบพายุให้สลายไปโดยพลัน แต่น้อยยิ่งกว่าน้อยที่พายุจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ผู้ที่สูญสลายไปกับสายลมกลับกลายเป็นต้นไม้ดื้อดึงเหล่านั้นเสียเอง
เปรียบเหมือนกับ "คนหัวรั้น" ในองค์กรเช่นกัน บางคนพยายามต้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วยสาเหตุต่างๆ นานา บ้างก็อ้างทฤษฏี อ้างตำแหน่ง อ้างนาย หรือยกตัวอย่างสภาพแวดล้อมในตลาดหรือประเทศอื่นๆ ที่มีปัจจัยพื้นฐานต่างกัน แม้กระทั่งการใช้ "ความจริงครึ่งเดียว" เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่แตกต่างไปจากชีวิตเดิมๆ ก็เห็นกันได้โดยทั่วไป
มองในมุมของเขา ก็ไม่ผิดหรอกครับ อาจเป็นเพราะ "ความไม่รู้" ทำให้เขามีพฤติกรรมอย่างนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของหัวหน้าที่จะอธิบาย ชี้แจงภาพรวมทั้งหมดให้เขาเห็น ให้เข้าใจเพื่อที่จะปรับตัวเองให้ได้
อีกพวกที่ต้องระวัง คือพวกที่ "รู้" แต่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง เพราะกลัวเหนื่อยกว่าเดิม พวกนี้แหละที่มักจะอ้างว่าตัวเองกลัว "จมน้ำ" ในขณะที่อยู่ใน "ทะเลทราย" ไงครับ แล้วก็พยายามหาพวก หาเหตุผลล้านเจ็ดมาหักล้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้
ซึ่งคนเป็นหัวหน้าต้อง "รู้เท่าทัน" และบริหารคนเหล่านี้ให้ได้ ต้องชัดเจนในวัตถุประสงค์ว่า องค์กรต้องการอะไร ผลที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะส่งผลดีกับทุกคนอย่างไรบ้าง อย่าไข้วเขวกับเหตุผล หรือการกระทำบางอย่างที่ดูเหมือนจะน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง
ไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านจะเป็นอีกคนที่มัวมาแบก "ถังออกซิเจน" เดินจูงมือกัน หลงทางในทะเลทรายให้เป็นที่หัวร่อได้ครับ
October 12, 2009
มองมุมเหม่ง > พาลีสอนน้อง ตอนต่อมา (Pali's Advice -- Next Episode)
October 11, 2009
แวะคิด แวะคุย > โกนผมไฟ THE MEngMORY
October 7, 2009
เรียนจากหนัง > The Mist วิกฤตของชีวิต (The Mist : Crisis Management)

ขอว่าถึงเรื่องหนังอีกสักครั้งนะครับ ก่อนจะกลับไปหาพี่พาลี ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ทางเคเบิลทีวีตอนไปเชียงใหม่คราวที่แล้ว เห็นว่าเนื้อหนังมีประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันครับ
The Mist เป็นผลงานเรื่องดังอีกเรื่องของเจ้าพ่อนิยายสยองขวัญ สตีเฟน คิง ฉายมาตั้งแต่ปี 2007 ในเมืองไทยมีเสียงตอบรับดีพอสมควรสำหรับคอหนัง แต่ถ้าดูจากตัวอย่างแล้ว คงคิดว่าเป็นหนังสยองขวัญสัตว์ประหลาดดาดๆ ไป ทำให้ผมเองก็พลาดไปเช่นกัน
เนื้อเรื่องย่อๆ คือ ในเช้าวันหนึ่งหลังจากพายุใหญ่ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในอเมริกาก็ได้ต้อนรับกลุ่มหมอกแปลกๆ พร้อมกับกองกำลังทหารที่เข้ามา หนังโฟกัสไปที่กลุ่มชาวบ้านที่เข้ามาซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ต ซึ่งรวมทั้งตัวเอกที่มาพร้อมกับลูกชายและเพื่อนบ้านที่เคยบาดหมางกัน ก็จะเข้ามาซื้อของเพื่อไปซ่อมแซมบ้านด้วย
หนังไม่ปล่อยให้เราเห็นภาพน่าเบื่อที่เราคุ้นเคยตอนไปชอปปิงหรอกครับ ระดับนี้แล้ว หนังเริ่มแสดงให้เห็นว่า "หมอก" ที่เพิ่มมากขึ้นนั้น เริ่มคุกคามอย่างไร มีตัวประหลาดในหมอกลากคนไปกิน ทำให้ทุกคนในซุปเปอร์มาเก็ตนั้นต้องรวมตัวกันเพื่อป้องกัน และดูแลตัวเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย
จุดที่น่าสนใจ นอกเหนือไปจากการลุ้นว่าสัตว์ประหลาดคืออะไร จะโจมตีอย่างไร และการเดาว่าตัวประกอบเสร่อๆ คนไหนจะตายก่อนนั้น คือ การที่คนหลากหลายแบบต้องถูกบังคับให้มาอยู่ด้วยกันในภาวะวิกฤต คนที่เราเจอเผินๆ ในห้าง ในลานจอดรถ เพื่อนบ้าน ฯลฯ ที่เราเคยยิ้ม เคยจอดรถให้ข้ามถนน ต่างๆ นานา นั้น พอได้มาใกล้ชิดกันเพราะความจำเป็นแล้วจะเป็นอย่างไร
สิ่งแรกที่ดึงผมไปจากความประหลาดของ "หมอก" หรือความเป็นไปไม่ได้บางอย่างของเนื้อเรื่องคือ "การบริหารจัดการในภาวะวิกฤต" ครับ
ในชีวิตจริง ผมหวังว่า เราคงไม่เจอภาวะวิกฤตรุนแรงอย่างในหนังนะครับ แต่ว่าเราเคยคิดกันไหมว่าจะเตรียมตัวอย่างไร
อย่างแรก เมื่อเจอเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ใครจะเป็นผู้นำ ซึ่งเนื้อหาในหนังนั้น ชาวบ้านพยายามจะให้ทนายที่เป็นเพื่อนบ้านผิวดำของพระเอกนั้นเป็นผู้นำ เพราะดูจากหน้าที่การงานน่าเชื่อถือต่างกับพระเอกที่เป็นเพียงศิลปินวาดภาพประกอบหนัง
แต่ปมในใจของทนายผิวดำ และวุฒิภาวะบกพร่องในการเป็นผู้นำ ทำให้เขาดื้้อรั้นไม่เชื่อฟังคำแนะนำของพวกพระเอก แม้ว่าจะมีหลักฐานอยู่ทนโท่ก็ตาม ส่งผลให้เขาต้ัองกลับบ้านเป็นคนแรกๆ ของเรื่องนี้ รวมไปถึงคนผิวดำอีกหลายๆ คนที่เลือกที่จะอยู่ข้างเขาด้วย
ชาวบ้านเริ่มจะมีทีท่าเชื่อถือเรื่องสัตว์ประหลาด และผลักดันให้พระเอกเราเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ เขาต้องการแค่ซื้อของเสร็จแล้วให้ลูกได้กลับบ้านไปเจอเมีย การต่อสู้กับสัตว์ประหลาด หรืออื่นๆ ใดๆ เพื่อตอบโจทย์ข้างต้นเท่านั้น ทำให้ตัวละคร "หญิงบ้า" อีกคนมีบทบาทขึ้นมา
"หญิงบ้า" (ตามที่ชาวเว็บทั้งหลายเรียกไว้) นี้ ต้นเรื่องชาวบ้านไม่มีใครอยากยุ่งด้วย เพราะคิดว่าเป็นพวกบ้าศาสนา สวดมนต์ไปวันๆ แต่เธอมีความเชื่อ มีจุดยืนที่ชัดเจนครับ ในหนังแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไร ไม่ว่าใครจะเป็นไง เธอเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง และทุกสิ่งเกิดจากพระเจ้ากำหนด
เรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่เป็นไปได้คือ ในภาวะที่มีความเครียด และกดดันสูงๆ นั้น ชาวบ้านบางส่วนเริ่มเชื่อในสิ่งที่เธอพูด และมันมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ หลายๆ คนเริ่มไม่ใ้ช้เหตุผลในการพิจารณาปัญหา เลือกที่จะใช้ความรุนแรงเป็นทางแก้ไข เพราะอาจจะเป็นเรื่องที่หนักและลำบากเกินไปสำหรับชาวบ้านในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงหันไปเลือกทางออกที่ง่ายๆ และสำเร็จรูป ทำให้หญิงบ้านี้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มในที่สุด
อย่างที่โบราณกล่าวไว้ สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ในภาวะวิกฤตนั้น ผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ที่สำคัญถัดมาคือ การค้นหาความจริงวิเคราะห์ปัญหาด้วยสติก็จำเป็น บางทีเราต้องถอยตัวเองออกมาก้าวหนึ่ง เพื่อให้เห็นภาพรวมของวิกฤตทั้งหมด ซึ่งอาจจะต้องมองออกจากกรอบปกติของความคุ้นชินไปบ้าง เพื่อหาแนวทางใหม่ๆ เช่นกัน
และการบริหารจัดการผู้ตาม (ที่ตามเพราะความจำใจ) จึงจำเป็นที่เราต้องฝึกฝนตัวเองให้พร้อมกับบทบาทผู้นำ หรือผู้ตามเพราะในหนังก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะของผู้ตามที่ดี ทำงานเป็นทีม ใช้เหตุผลมาถกเถียงกัน ทำให้ฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ ได้ เทียบกับผู้ตามที่ห่วยๆ เอาแต่ร้องแรกแหกกระเชอ รอความช่วยเหลืออย่างเดียว หรือในสถานการณ์เช่นนี้ คนเราก็จะแสดงถึงความเห็นแก่ตัวออกมาอย่างมากที่สุด เพื่อให้ตัวเองรอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายในการบริหารจัดการเช่นกัน
กลับมาที่เนื้อเรื่องอีกครั้ง หนังไม่ปล่อยให้เป็นไปตามแบบแผนขนบธรรมเนียมของหนังครับ แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะเฉลยว่า สัตว์ประหลาดที่ปรากฏนั้น มาจากความผิดพลาดในการทดลองทางทหาร ทำให้ประตูมิติเปิดออกและสัตว์ประหลาดหลุดออกมา (อืม ค่อยเว่ิิอร์สมกับ สตีเฟน คิงหน่อย) หนังแสดงให้เห็นว่า บางทีผู้นำก็ตัดสินใจผิดพลาดได้เช่นกัน ความใจร้อน หุนหันพลันแล่นอาจจะทำให้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตก็ได้ และไม่เพียงแค่นั้น มันมีชีวิตของผู้ตามคนอื่นๆ ที่เขาแบกไว้ด้วย การรอคอยก็อาจจะเป็นกลยุทธ์ทีดีอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน
ครับ ในภาวะวิกฤตนั้นมันไม่ง่ายเลย แต่ก็คุ้มค่าที่จะทำ
October 5, 2009
เรียนจากหนัง > The Unit ทหารนั้นก็คน (The Unit: Soldier is human)

ดูเสร็จแล้วมองกลับมาบ้านเรา อย่างแรก เมื่อไรจะมีหนังชุดดีๆ อย่างนี้จากฝีมือคนไทยบ้าง และทหารไทยจะเก่งเหมือนเขาได้ไหม
October 1, 2009
มองมุมเหม่ง > นำเสนอให้ซึ้งถึงใจ (PowerPoint Presentation Technique)
นำเสนอสีสรรหลากหลาย
ตาลายไม่เข้าใจ
*******************************
งานที่ว่านี้เป็นโครงการใหญ่โครงการหนึ่ง ลูกค้าได้ให้รายละเอียดเบื้องต้นมาแล้ว ต้องการให้เราเข้าไปนำเสนองานเพื่อแข่งกับรายอื่นๆ
ครับ การแข่งขันทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่สินค้าดี บริการดี รอลูกค้ามาซื้อ การนำเสนอก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันด้วย ไม่ใช่แค่สักแต่พูดๆ ไป การนำเสนอที่ดีจะนำไปสู่ความเข้าใจในตัวสินค้า และบริการ เมื่อลูกค้าประทับใจแล้ว อื่นๆ ที่จะตามมาก็จะง่ายไปด้วย รวมไปถึง “กำไร” ที่จะได้ด้วยครับ
เนื่องจากเป็นดีลที่ค่อนข้างใหญ่และสำคัญ คราวนี้น้องของเราเลย “เกร็ง” สิครับ
ที่ ผ่านๆ มาตั้งแต่โปรแกรม Power point กำเนิดในโลก เชื่อว่าหลายๆ คนคงหัดใช้กันเอง ตามมีตามเกิด คงจะมีส่วนน้อยที่ไปลงทุนเรียนกันเป็นเรื่องเป็นราว
ถ้าไม่นับเท มเพลท (Template) สำเร็จรูปที่เขามีให้ ซึ่งก็สวยดี แต่บางคนไม่ชอบ จะพยายามเป็นตัวของตัวเอง ใส่ลูกเล่นเทคนิคคัลเลอร์แพรวพราวไปหมด แต่น้อยคนที่จะทำได้ดี กลายเป็นว่า สุดท้ายคนฟังจำไม่ได้ว่าเนื้อหาคืออะไรเพราะตาลาย
และความพยายามที่ จะใส่ “ทุกอย่าง” เข้าไปในสไลด์ ตัวอักษรเต็มไปหมด ถ้าไม่กลัวว่าคนฟังไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองจะพูด คงจะกลัวว่าตัวเองจะลืมประเด็นไหนหรือเปล่า ส่งผลให้มีจำนวนสไลด์มหาศาล กระทบถึงเวลาที่ต้องพูด และจะล้มเหลวหรือไม่ได้ผลตามที่ต้องการ
แล้วจะทำไงดีละคะ พรุ่งนี้ต้องพรีเซนต์ (Present) แล้ว พี่มัวแต่พล่ามอยู่ได้
เอา ละ อย่างแรกต้องรู้ก่อนว่า 1) เราจะพูดให้ใครฟัง เขาเป็นใคร ทำอะไร ภูมิหลังเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเมื่อรู้แล้ว เราสามารถออกแบบการนำเสนอให้เขารู้สึกดี รู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันแล้ว ก็จะเริ่มเปิดใจรับฟังสิ่งที่เราจะพูด การต่อต้านหรืออคติก็จะน้อยลง เช่น ผู้ฟังเป็นพนักงานระดับกลางๆ แผนกไอที เราก็จะรู้แล้วล่ะว่า ถ้าพูดเรื่องไฮไฟว์ เฟซบุค เบลดเซิร์ฟเวอร์ ก็น่าจะเข้าใจง่ายกว่าพูดเรื่องปุ๋ยชีวภาพเป็นต้น
ถัดมา 2) เรื่องที่เราจะพูด หรือนำเสนอนั้นเป็นเรื่องอะไร ที่ต้องย้ำอีกครั้งเพราะ เรื่องเดียวกันนั้น มีหลายมุมมองที่จะพูด เราต้องชัดเจนว่า สิ่งที่จะพูดนั้น ต้องตรงตามวัตถุประสงค์ของเรา และให้ความกระจ่างแก่ผู้ฟัง ไม่เกิดคำถามอื่นๆ ตามมา เช่น การนำเสนอสินค้าหรือบริการเทียบกับคู่แข่งนั้น เรื่องคุณภาพนั้นอาจจะสูสีหรือเป็นที่รับรู้อยู่แล้ว เราก็ยกประเด็นการบริการหลังการขายมาเน้นแทนก็ได้ ซึ่งดูแล้วเหนือกว่าคู่แข่งเป็นต้น เนื้อหาเหล่านี้ ถ้าเป็นข้อมูลใหม่ๆ หรือเรื่องที่ผู้ฟังไม่เคยรู้ ก็ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้มากขึ้น
ต่อไปคือ ลำดับเนื้อหาการนำเสนอครับ ผมมักจะบอกน้องๆ ให้คิดว่าเรากำลังกำกับหนังเรื่องหนึ่ง มีการปูเรื่อง (อธิบายเหตุผลที่มานำเสนอในวันนี้) แนะนำตัวละคร (สินค้าหรือบริการ) ขมวดปมปัญหา (สิ่งที่จะตอบโจทย์ของลูกค้า) แล้วคลี่คลายด้วยที่พระเอกอยู่กับนางเอกอย่างมีความสุข (ผลตอบแทนหรือประโยชน์ในระยะยาวที่ลูกค้าจะได้) ประมาณนั้นเลย
อีกส่วนสำคัญไม่แพ้กัน คือเวลาที่จะใช้ในการนำเสนอ ว่าเรามีเวลาเท่าไร จัดเนื้อหาให้อยู่ในกรอบเวลา ถ้าให้ดี เผื่อไว้ในส่วนที่ต้องตอบคำถามด้วย เพราะถ้าเวลาไม่พอ ยังมีคำถามคาใจ ก็จะไม่เป็นผลดีต่อเรา การบริหารเวลานี้ ส่งผลภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพของเราด้วยครับ
มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็มาวางรูปแบบการนำเสนอครับ ว่าจะเอาแนวไหน วิชาการขรึมๆ หรือคุยกันแนวกันเอง ชิลชิล หรือมีมุขขำๆ หยอดเป็นระยะๆ จุดนี้จะสร้างเสน่ห์หรือเสริมภาพลักษณ์ของผู้พูดอีกทางหนึ่ง
จากที่ว่ามาทั้งหมดก็มาถึงการเตรียมพาวเวอร์พอยต์แล้วครับ ที่ต้องตระหนักไว้เสมอๆ คือ พาวเวอร์พอยต์เป็นแค่ผู้ช่วยพระเอกอย่างเราในการนำเสนอเท่านั้น เราต่างหากที่เป็นพระเอก เป็นเจ้าของเวที หลายๆ คนมักจะกังวล หรือ “ตื่น” กลัวว่าจะลืมเนื้อหา ลืมมุขที่เตรียมมา หรือ กลัวคนฟังไม่สนใจ ฯลฯ
คิดเสียว่ามีผู้ช่วยพระเอกแล้ว ก็น่าจะรอดน่า
หมายรวมไปถึง พาวเวอร์พอยต์ที่มีแสงสีเสียงทีไม่จำเป็นทำให้แย่งความสนใจไปด้วยเช่นกัน
ตัวช่วยอื่นๆ ที่น่าสนใจก็เช่น วิดีโอคลิป ที่ใส่เข้ามา จะช่วยเสริมให้การนำเสนอสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเป็นช่วงที่คนพูดจะได้หยุดพัก หยุดคิดประเมินสถานการณ์ต่อไปด้วย
เหล่านี้ก็เป็นแนวทางจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทั้งของผมเองและของผู้บริหารระดับสูงในบริษัทหลายๆ แห่ง ซึ่งขอให้พึงสดับดูว่าจะมีประโยชน์โภคผลกับทุกท่านหรือไม่
คุณความดีๆ ที่มีที่จะเกิด ก็ขอมอบให้โปรแกรมพาวเวอร์พอยต์ และบริษัทไมโครซอฟท์เถิดครับ
September 24, 2009
มองมุมเหม่ง > พาลีสอนน้อง ตอนที่ 1 (Pali's Advice -- Episode 1 )
สรุปมาสอนคนรุ่นหลัง
ยังหวังให้ดีกว่า
**************************
September 18, 2009
มองมุมเหม่ง > มีค่าพอหรือเปล่า (Is He (or She) worth for ...??)
... No man (or woman) is worth your tears
and the only one who is, will never make you cry ...
กลับมาถึงประโยคข้างบนบ้าง แปลแบบงูๆ ปลาๆ หมาๆ แมวๆ ได้ว่า "ไม่มีใครมีค่าพอสำหรับน้ำตาของเรา แต่ถ้ามันจะมี เขา (หรือเธอ) คนนั้นจะไม่มีวันทำให้คุณร้องไห้อย่างแน่นอน"
โห ซึ้งนะครับ พูดแล้วดูเท่จัง แต่ว่าตกลงจะร้องหรือไม่ร้องไห้กันแน่เนี่ย ประโยคอย่างนี้ฝรั่งเรียกว่า ประโยคที่มีความขัดแย้งในตัวเอง (พาราดอกซ์ -- Paradox อธิบายสั้นๆ คือ ประโยคนั้นไม่เป็นจริง เพราะเงื่อนไขในประโยคจะหักล้างกัน)
เพราะว่า ถ้ามีคนที่มีค่าพอสำหรับน้ำตาเรา เราอาจจะเสียน้ำตาให้เขา แต่ถ้าเขาไม่ทำให้เรามีน้ำตา แล้วจะบ่งชี้คุณค่าเขาจากอะไร แต่อย่าคิดมากนะครับ สำหรับเรื่องพาราดอกซ์นี้ คิดไปมาก็ปวดหัว ให้นักวิชาการเขามีอะไรทำบ้างไปเถิด
คิดอีกที "น้ำตา" เป็นเครื่องหมายของความเศร้าอย่างเดียวนั้นหรือเปล่า ไม่น่าใช่นะ หลายๆ คนคงทราบกันดีว่า อีกบทบาทหนึ่งของน้ำตา (นอกเหนือจากไว้ล้างตาให้ใสปิ๊ง) คือการแสดงความปลื้มปิติยินดีที่เรามีต่อสิ่งดีๆ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่มีผลต่อทัศนคติ หรือคนที่เรารักด้วย
แล้วถ้าถามกลับว่า เราทำตัวให้มีค่าพอที่ไม่ทำให้ใครร้องไห้หรือไม่ หรือพูดอีกอย่างว่า เราทำตัวให้ใครต้องมาเสียใจกับเราหรือเปล่า
โห ในสังคมทุกวันนี้ เยอะนะครับ คนที่แวดล้อมตัวเรา เราไม่สามารถทำให้ "ทุกคน" พอใจได้ตลอดเวลา มันอาจจะมี "บางคน" ที่ไม่พอใจในบางเวลา แต่สิ่งที่เราัต้องยึดถือคือ หลักเกณฑ์ หรือ กติกา ที่ตกลงกันไว้ (แม้ว่าหลักเกณฑ์หรือข้อตกลงนั้น ในเวลาต่อมาจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องก็ตาม)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักบริหารที่มีหลายๆ ปากท้องที่ต้องรับผิดชอบ จุดมุ่งหมายไม่ใช่ต้องทำให้ใครพอใจ แต่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเอาเปรียบใคร ทุกคนที่ทำตามหลักเกณฑ์จะได้รางวัล ต่างจากนั้นก็โดนลงโทษ ถ้าตัวหัวหน้าเองไร้ซึ่งความยุติธรรมแล้ว ใครหน้าไหนจะพึ่งพาได้ละครับ พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ถ้าได้ทำแล้ว ในระยะยาวจะได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน
อืม จากน้ำตามาจบลงตรงนี้ได้ด้วยประการฉะนี้
Because if someone is worth for us to cry. But he (or she) won’t do that so. how we know his (her) value to us? Ok. Don’t let it make you confuse it’s just showing how Paradox is.
September 17, 2009
มองมุมเหม่ง > ตรรก หรือว่า ประสบการณ์ (Logic or Experience)
แต่มันไม่ใช่แค่นี้นะสิ
September 15, 2009
มองมุมเหม่ง > เรียนเก่ง กับ คุยเก่ง (Good Boy & Bad Boy)
เรียนเก่งในที่นี้ ส่วนใหญ่ก็จะให้ความสำคัญกับวิชาสายวิทยาศาสตร์ สายศิลปะก็อาจจะมีบ้างเช่นพวกภาษาอังกฤษ แต่วิชาอื่นๆ ดูเหมือนจะตกในฐานะที่ “ยิ่งกว่าลูกเมียน้อย” เสียอีก ไม่เช่นนั้นแล้ว ทุกวันนี้เราคงเห็น สปช. โอลิมปิก หรือ วาดเขียนโอลิมปิก บ้าง แทนที่จะเห็นแต่น้องๆ คณิตศาสตร์ โอลิมปิก เคมี ชีวะ ฯลฯ
ซึ่งก็แปลก ที่หลังจากลงข่าวหน้าหนึ่งไทยรัฐได้สามวัน ก็พลันหายไปจากความทรงจำของสังคม นั่นสิ มีใครจำชื่อน้องๆ ที่ได้คณิตศาสตร์โอลิมปิกปี 2549 บ้างไหมครับ เอาแบบไม่ต้องไปถามพี่กู (เกิล) นะ
ในสมัยนั้น ก็จะเน้นกันแต่เรื่อง ไอคิว ว่ากันว่า บางโรงเรียนถึงกับบ้าคลั่งเอามาเป็นเกณฑ์ตัดสินอนาคตเด็กๆ กันทีเดียว โชคดีที่วันนี้ เด็กๆ ในอดีต ที่เป็นผู้ใหญ่ในปัจจุบันเริ่มมองเห็นความไม่เข้าท่าเหล่านี้ เราจึงได้ยิน อีคิว เข้าคิว และอีกหลายๆ คิว รวมไปถึงโรงเรียนทางเลือกจากคุณครู หนูดี อี เอฟ ต่างๆ ซึ่งนับว่าดีขึ้นมาก แต่ก็เป็นการเริ่มต้นนะครับ คนเป็นพ่อแม่ก็ยังต้องเดินทางกันอีกไกล
กลับมาถึงเด็กอีกกลุ่มนึงบ้าง พวกคุยเก่ง ไงครับ
จั่วหัวมาอย่างนี้อาจจะงง เพราะคนสองแบบนี้อยู่กันคนละขั้ว แบ่งแยกดีเลว ตามมาตรวัดของคุณครูส่วนใหญ่ พวกเรียนเก่งมักยกย่องเชิดชู แต่พวกคุยเก่งไม่โดนตีก็ต้องมี “ชอล์กเหิร” หรือ “แปรงบิน” ร่อนมาให้เสียวเล่นๆ
แต่ถ้าเรามองว่า พวกคุยเก่ง นี้ความถนัดของเขา คือ “การสื่อสาร” ละครับ
คือ การสื่อสารที่จะสามารถเรียนรู้คู่สนทนา ความสามารถที่จะชักนำความสนใจจากคุณครูมาที่ตัวเขาเอง ทั้งที่มีความเสี่ยงจะโดนตีเพราะมาคุยกับเขาเป็นต้น
ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะครับ เด็กเหล่านี้ ต้องใช้ทักษะสูงมาก (ฮา)
มองถึงความสำคัญเหล่านี้ ลองคิดดูนะครับ ในชีวิตการทำงาน ถ้าเราไม่สามารถ “สื่อสาร” นำเสนอความคิดเราได้ บอกในสิ่งที่เราต้องการไม่ได้ ความสำเร็จก็ไม่บังเกิด ต่อให้เกียรตินิยมอย่างไร ก็ไร้ประโยชน์ครับ หรือ ถ้าเราไม่สามารถพูดจา “สื่อสาร” ในภาษาอื่นๆ ได้ถึงจะได้ โอลิมปิก สักกี่เหรียญก็ตาม พอพ้นเขตชายแดนแล้ว ก็อาจจะอดข้าว (หรือขนมปัง) ตายได้นะครับ
ความจริงจากบริษัทจัดหางานคือ ทุกวันนี้ ในตำแหน่งระดับสูงๆ นั้น คุณสมบัติที่ต้องการมากคือ ความสามารถในสื่อสาร แก้ปัญหาได้ ทำความเข้าใจประสานงานกับผู้อื่นได้ ทั้งภายในภายนอก
ผมมานั่งนึกย้อนไป ตั้งแต่สมัยเรียน มีวิชาไหนบ้างที่จะสอนเรื่องเหล่านี้
น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ที่ได้ๆ มากันนั้น ไม่บุญนำ ก็วาสนาพา หรือได้จากการ “คุยเก่ง-เล่นเพลิน” แทน
บทความวันนี้ ไม่ได้ต่อต้าน หรือให้ผู้อ่าน ละเลยวิชาหลักๆ ทั้งหลายนะครับ ยังจำเป็นอยู่ เพียงแต่อยากให้มองถึงความสำคัญของ “การสื่อสาร” บ้างก็เท่านั้น ทั้งการพูดจา, ภาษาต่างประเทศ, การนำเสนอ เหล่านี้
ก็หวังเล็กๆ ว่า คนไทยจะพูดกันเข้าใจกันมากขึ้น และไปแข่งขันนอกประเทศได้บ้างเท่านั้น